นายจ้างมีหนังสือเลิกจ้างแต่ไม่ได้ระบุเหตุผลการกระทำความผิดไว้ในหนังสือเลิกจ้าง นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างกระทำความผิดร้ายแรง ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2543
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17, 119
โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2542
จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างวันที่31
ตุลาคม 2542
โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย
ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 30,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 90,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จงใจหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หลายครั้งซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายทั้งที่จำเลยได้ตักเตือนโจทก์ด้วยวาจาและเป็นหนังสือหลายครั้ง
กล่าวคือ
โจทก์มีหน้าที่ด้านการปฏิบัติการฝ่ายสินค้าขาเข้าของจำเลยต้องรับผิดชอบในการติดต่อแนะนำ
อีกทั้งทำเอกสารใบแจ้งหนี้เพื่อดำเนินการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า
แต่โจทก์ละเลยหน้าที่ดังกล่าวหลายครั้ง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก
นอกจากนี้โจทก์ละเลยไม่ลงราคาต้นทุนในเอกสาร ปกปิดชื่อลูกค้าในลำดับ การรับงาน
และแก้ไขชื่อลูกค้าในสมุดรับงานไม่ตรงกับแฟ้มเอกสารของลูกค้า
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดร้ายแรงทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์
โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างและค่าชดเชยจากจำเลย
แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม
จำเลยจึงได้พิจารณาให้เงินช่วยเหลือโจทก์ในระหว่างว่างงานจำนวน 60,000 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมรับกลับมาฟ้องเป็นคดีนี้
ทั้งที่ไม่มีสิทธิตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 30,000 บาท และค่าชดเชยจำนวน 90,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้อง
และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าชดเชยนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2542 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้าง
จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่
14 กันยายน 2541
ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งโอเปอร์เรชั่นโคโอดิเนเตอร์
ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท
กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2542 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป
ตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย จล.1
ทั้งนี้โดยหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวจำเลยไม่ได้ระบุความผิดของโจทก์อันเป็นเหตุผลของการเลิกจ้างซึ่งเป็นเหตุที่จะไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ไว้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า
ก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ได้กระทำความผิดต่อหน้าที่หลายครั้ง
ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย
จำเลยได้ตักเตือนโจทก์ด้วยวาจาและเป็นหนังสือหลายครั้ง
แต่โจทก์ยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม
โดยครั้งสุดท้ายโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ลงราคาต้นทุนในเอกสาร
ปกปิดชื่อลูกค้าในลำดับการรับงานและแก้ไขชื่อลูกค้าในสมุดรับงานไม่ตรงกับแฟ้มเอกสาร
ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
ความผิดของโจทก์ดังกล่าวสมควรที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาคดีของศาลแรงงานกลางด้วย
เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 17 วรรคสาม บัญญัติว่า
"ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง
ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างนายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้" ฉะนั้น
แม้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์กระทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอันมีลักษณะตามข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตาม
มาตรา 119
และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีกด้วยก็ตาม
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยมิได้อ้างเหตุดังกล่าวไว้ในหนังสือเลิกจ้าง
โดยจำเลยเพิ่งจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ เมื่อถูกโจทก์ฟ้องคดี
ศาลแรงงานกลางย่อมไม่สามารถจะหยิบยกข้อต่อสู้ของจำเลยมาประกอบการพิจารณาได้
เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 17 วรรคสาม ดังกล่าว