ผู้ให้กู้ กรอกจำนวนเงินกู้ในสัญญากู้ เกินกว่าความจริง ผู้กู้ต้องชดใช้เงินตามที่ผู้ให้กู้กรอกไว้หรือไม่ และผู้ให้กู้มีความผิดฐานใดบ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2547
จำเลยได้กู้เงินไปเพียง 30,000 บาท
แต่โจทก์กลับไปกรอกข้อความในสัญญาเงินกู้เป็นเงินถึง 109,000 บาท
โดยจำเลยไม่ได้ยินยอม สัญญากู้จึงเป็นเอกสารปลอม
โจทก์ไม่อาจนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีได้
เมื่อเงินกู้จำนวนดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้มาแสดง
โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยรับผิดชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ได้
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 109,000 บาท จำเลยรับเงินครบถ้วนแล้ว
ตกลงให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย ภายหลังทำสัญญาจำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ย
ครั้นหนี้ถึงกำหนดชำระจำเลยไม่นำต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างมาชำระ ทำให้โจทก์เสียหาย
ดอกเบี้ยคิดจากวันกู้ถึงวันฟ้อง 17,914.07 บาท รวมเป็นหนี้คิดถึงวันฟ้อง
126,914.07 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 126,914.07 บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 109,000 บาท
นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์เพียง
30,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ต่อเดือน
โจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มสัญญากู้ท้ายฟ้องโดยไม่มีการกรอกข้อความใดๆ
หลังจากนั้นจำเลยได้ผ่อนชำระไปแล้วเดือนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 18,000 บาท
คงค้างต้นเงินจำนวน 12,000 บาท โจทก์กับสามีสมคบกันไปกรอกจำนวนเงินเองเป็น 109,000
บาท โดยจำเลยมิได้รู้เห็นและยินยอม สัญญากู้ท้ายฟ้องจึงเป็นเอกสารปลอม
จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน
126,914.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 109,000 บาท
นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว
ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า
จำเลยได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย
จ.1 จริง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญากู้ฉบับดังกล่าวหรือไม่
โจทก์มีตัวโจทก์กับนายถวิล สมบูรณ์ เป็นพยานเบิกความว่าเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม
2541 จำเลยได้มาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ไป 109,000 บาท
โจทก์ตกลงให้กู้และได้มอบเงินให้จำเลยรับไปแล้วได้ทำสัญญากู้ไว้ตามหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย
จ.1
นายถวิลเบิกความยืนยันว่าตนเป็นทำสัญญาดังกล่าวโดยเป็นผู้กรอกข้อความลงในช่องว่างแล้วให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้
ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความยืนยันว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเพียง 30,000 บาท
เท่านั้น และได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย จ.1
จริง แต่สัญญากู้ดังกล่าวไม่ได้กรอกข้อความไว้ โจทก์มากรอกข้อความภายหลัง เห็นว่า
พยานบุคคลทั้งสองฝ่ายต่างเบิกความไปคนละทาง
จึงเป็นการยากที่จะเชื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ แต่เมื่อได้พิเคราะห์หนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย
จ.1 แล้ว ปรากฏว่าสีหมึกที่ใช้เขียนข้อความในช่องทำที่กับข้อความในช่องว่างในข้อ 2
แตกต่างกับสีหมึกที่ใช้เขียนข้อความในช่องว่างต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนั้นลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้กู้สีของหมึกที่ใช้เขียนก็แตกต่างออกไปอีก
แสดงให้เห็นว่าใช้ปากกาคนละด้ามเขียน ดังนั้น
ที่นายถวิลเบิกความข้อความที่เขียนในเอกสารและที่จำเลยลงลายมือชื่อใช้ปากกาด้ามเดียวกัน
จึงรับฟังไม่ได้เป็นพิรุธ นอกจากนี้ในสัญญากู้ดังกล่าวระบุว่า
นายสุทัศน์สามีจำเลยเป็นผู้กู้แต่จำเลยกลับลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ด้วยตนเองซึ่งหากมีการเขียนสัญญากู้ในวันที่จำเลยมาขอกู้ยืมเงินจริงก็ไม่น่าจะเกิดการผิดพลาดได้เช่นนี้
พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นพิรุธน่าสงสัยมีน้ำหนักน้อย
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า
สัญญากู้ดังกล่าวมีการกรอกข้อความในภายหลังตามที่จำเลยนำสืบ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปเป็นจำนวนเท่าใด
โจทก์นำสืบว่า จำเลยกู้ยืมเงินไป 109,000 บาท
แต่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่ากู้ยืมเงินไปเพียง 30,000 บาท
ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีแต่พยานบุคคลเบิกความยันกันเท่านั้น
ส่วนหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย จ.1
ซึ่งเป็นพยานเอกสารนั้นข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า เป็นการกรอกข้อความภายหลัง
จึงไม่อาจใช้เป็นพยานเอกสารสนับสนุนข้อนำสืบของโจทก์ได้
แต่เมื่อได้พิเคราะห์ฐานะของโจทก์ในขณะที่ให้จำเลยกู้ยืมเงินแล้ว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในขณะนั้นโจทก์ยังเป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาขาห้วยยอด อีกหลายจำนวน ซึ่งรวมกันแล้วโจทก์เป็นหนี้ถึง 430,000 บาท
และยังเป็นลูกหนี้ของบรษัทสหมิตรธุรกิจอีกถึง 30,000 บาท
หนี้ทั้งหมดโจทก์ยังมิได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้แต่อย่างใด
จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะมีเงินถึงจำนวน 109,000 บาท มาให้จำเลยกู้ได้
ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อได้ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปเพียง 30,000 บาท
ตามที่จำเลยนำสืบเท่านั้น
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยจะต้องชำระหนี้จำนวน 30,000 บาท
ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินไปเพียง
30,000 บาท แต่โจทก์กลับไปกรอกข้อความในสัญญากู้เป็นจำนวนเงินถึง 109,000 บาท
โดยจำเลยไม่ได้ยินยอม สัญญากู้จึงเป็นเอกสารปลอม
โจทก์ไม่อาจนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในฟ้องคดีได้เมื่อเงินกู้จำนวนดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้มาแสดง
โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยรับผิดชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
( องอาจ โรจนสุพจน์ - ประชา
ประสงค์จรรยา - พงษ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ )
หมายเหตุ นอกจากนี้
ผู้ให้กู้ยังมีความผิดฐานฐานเบิกความเท็จ ฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี
จำคุก ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม อีกด้วย