-
-
บทบรรณาธิการ
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ
-
รถหายในห้างสรรพสินค้า ห้างฯต้องรับผิดชอบ
-
ผู้เช่า (หัวหมอ) ฟ้องผู้ให้เช่า บุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ และ ลักทรัพย์ แต่ (เงิบ) ด้วยข้อสัญญาเช่า จึงเป็นอุทธรณ์(เห่า) ของผู้ให้เช่า ในการเขียนสัญญาเช่า ให้รอดพ้นจากคดีดังกล่าวหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว
-
คำสั่งให้งดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ย่อมมีผลทันทีเมื่อศาลมีคำสั่ง แม้คำสั่งนั้นยังไม่ได้ส่งไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบก็ตาม
-
สัญญากู้ลงชื่อผู้กู้ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือเท่านั้น
-
การครอบครองปรปักษ์ยังไม่ครบ ๑๐ ปี เจ้าของที่ดินโอนไปยังบุคคลภายนอก การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง ต้องเริ่มนับใหม่
-
ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
-
ร้องขอครอบครองปรปักษ์ สังหาริมทรัพย์ (หุ้น, รถยนต์) ได้หรือไม่
-
คนต่างด้าวร้องขอครอบครองปรปักษ์คอนโดได้หรือไม่
-
หัวสัญญาระบุว่า สัญญาซื้อขาย โดยจำเลยเป็นผู้ซื้อ โจทก์เป็นผู้ขาย มีรายละเอียดของแบบสินค้า จำนวนชุด ราคา วันจัดส่ง แต่ในเนื้อหาสาระของสัญญายังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับผ้า วัสดุอุปกรณ์ กรรมวิธีการผลิต หีบห่อ และเศษวัสดุจากการตัดเย็บและสินค้าคุณภาพรองไว้ด้วย เช่นน
-
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่า จะมีผลผูกพันผู้รับโอนหรือไม่ แม้ผู้รับโอนจะรู้เห็นถึงการเช่าและรับโอนตึกแถวพิพาทมา
-
พวกไกด์ผีระวังไว้นะ
-
สัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดิน(ที่ดินจัดสรร) ที่มีข้อกำหนดของสัญญาว่า ค่าภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนโอน ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระทั้งหมด มีผลบังคับใช้ได้หรือไม่
-
ด่ากันทางโทรศัพท์ มีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือไม่
-
จอดรถไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรม โดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่บริเวณลาดจอดรถ หากรถหาย โรงแรมจะต้องรับผิดชอบหรือไม่
-
ผู้ให้กู้ กรอกจำนวนเงินกู้ในสัญญากู้ เกินกว่าความจริง ผู้กู้ต้องชดใช้เงินตามที่ผู้ให้กู้กรอกไว้หรือไม่ และผู้ให้กู้มีความผิดฐานใดบ้าง
-
ผู้กู้ ยินยอมให้ดอกเบี้ยแก่ ผู้ให้กู้ ในอัตราที่ขัดต่อกฎหมาย (เกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี)ผู้ให้กู้ มีความผิดหรือไม่ (กู้นอกระบบ)
-
ผู้ขายฝากมีเงินไถ่ที่ดินที่ขายฝากภายในกำหนดเวลาตามสัญญา แต่ผู้ซื้อฝากไม่ยินยอมให้ไถ่ ผู้ขายฝากจะไถ่ที่ดินที่ขายฝากด้วยวิธีใด
-
อ้างว่า ไฟแนนซ์ให้มายึดรถที่ค้างค่างวดคืน ถ้าไม่อยากให้ยึด ต้องจ่ายค่าติดตามมา อย่างนี้ ผู้เช่าซื้อจะดำเนินคดีอาญากับพวกแอบอ้างอย่างนี้ได้หรือไม่
-
ผู้กู้ เขียนข้อความว่า "เพื่อชำระหนี้เงินกู้" ไว้ด้านหลังเช็คและลงลายมือชื่อไว้เท่านั้น ถือว่า เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน หรือไม่
-
ผู้เช่าซื้อ ขายดาวน์ ให้แก่ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อใช้ชื่อและที่อยู่ของบุคคลอื่นเป็นผู้ซื้อ เมื่อได้รับมอบรถยนต์ไปแล้ว ก็ไม่ยอมมาทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อ อย่างนี้ ผู้ซื้อจะมีความผิดอาญา ฐานใด
-
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้ร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี จะยังมีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองได้หรือไม่
-
กรณีของคุณชูวิทย์ ที่เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลฎีกามีคำตอบอย่างนี้
-
ใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของเด็ก เป็นความผิดฐานกระทำชำเรา ไม่ใช่อนาจาร
-
เจ้าของที่ดินเดิมมีเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะย่อมมีผลให้ที่ดินตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันที โดยไม่จำต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และไม่อาจซื้อกันได้ ผู้ซื้อย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นทางสาธารณะ
-
พฤติการณ์เช่นใดที่แสดงว่า สามียกย่องหญิงอื่นฉันภริยาแล้ว ซึ่งเมียหลวงมีสิทธิฟ้องหย่า และเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกับเรียกค่าทดแทนจากสามีและเมียน้อยได้
-
การด่าผู้อื่นว่า “ตอแหล” ผิดดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่
-
เงินเยอะ ซื้อที่ดินมือเปล่าทิ้งไว้ (ภ.บ.ท.5 หรือ สทก.) แต่ไม่ได้ครอบครองตามความเป็นจริง จะฟ้องขับไล่ เอาที่ดิน คืนได้ไหม
-
ซื้อที่ดินโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ ต่อมา อ.บ.ต.ห้ามมิให้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกเงินค่าที่ดินพร้อมดอกเบี้ยคืนจากผู้ขายหรือไม่
-
สิทธิครอบครองที่ดินภ.บ.ท.๕ ซื้อขายกันได้หรือไม่ และเมื่อผู้ซื้อเข้าครอบครองที่ดินแล้ว จะเปลี่ยนใจขอเงินคืนได้หรือไม่
-
ผู้ชำระบัญชี ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้บริษัท แต่กลับไปจดเสร็จการชำระบัญชี ผู้ชำระบัญชีต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ด้วยหรือไม่
-
ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ มีเพียงบัตรพร้อมรหัสใช้กดถอนเงิน จะถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จะใช้ฟ้องร้องกันได้หรือไม่
-
เป็นหนี้เงินกู้ยืมแล้วไม่ชำระ เจ้าหนี้เข้าไปยึดทรัพย์สินภายในบ้าน ตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ระบุว่า หากไม่ชำระยินยอมให้ยึดทรัพย์สินได้ เจ้าหนี้จะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่
-
ทำสัญญากู้กันไว้ โดยส่งมอบโฉนดไว้เป็นประกัน ผู้กู้จะฟ้องเรียกโฉนดคืนได้หรือไม่ เมื่อยังไม่ชำระหนี้ หรือในกรณีส่งมอบโฉนดไว้เป็นประกัน แต่ไม่ได้ทำสัญญากู้กันไว้ หรือ ศาลพิพากษาให้ชำระหนี้แล้ว แต่ไม่ได้บังคับภายใน ๑๐ ปี เจ้าหนี้ยังยึดโฉนดไว้ได้หรือไม่ จนกว่า
-
ผู้กู้ มอบโฉนดให้ ผู้ให้กู้ ไว้เป็นประกันการกู้ยืม ต่อมาผู้กู้ไปแจ้งความว่า โฉนดหายไปและไปขอออกใบแทนแล้วโอนให้แก่ผู้อื่นไป ผู้ให้กู้เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้อง ผู้กู้แจ้งความเท็จ ได้หรือไม่ และผู้ให้กู้ต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้ที่ดินคืนมาประกันการชำระห
-
ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง แล้วโอนต่อไปให้บุคคลภายนอกโดยไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมคนอื่น ทายาทจะตั้งรูปคดีอย่างไร เพื่อไม่ให้ฟ้องขาดอายุความ
-
ที่ดิน ภ.บ.ท.5 ซื้อขายกันได้ แต่ถ้าเป็นที่สาธารณประโยชน์ สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ
-
นักข่าวต้องการข่าว ไปล่อซื้อเพื่อให้เป็นข่าว
-
รถถูกขโมยไปจากคอนโด ใครต้องรับผิดชอบ
-
ถูกขโมยบัตรเครดิตไปใช้ ผู้ถือบัตรต้องรับภาระหนี้ดังกล่าวหรือไม่
-
ไปนวดแผนโบราณในโรงแรมแล้ว รถยนต์หายไป เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดชอบหรือไม่
-
กรณีศึกษา รถหายไปจากห้าง กับ มาตราฐานในการนำสืบข้อเท็จจริง เพื่อให้ห้างต้องรับผิดชอบ
-
ธนาคารหักเงินจากบัตรเดบิตที่ตนเองไม่ได้ใช้ ธนาคารต้องคืนเงินที่หักไปพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่หักเงินไปจากบัญชี
-
แอบถ่ายใต้กระโปรง
-
ซื้อรถยนต์ แต่จดทะเบียนโอนไม่ได้ และไม่ยอมส่งมอบแผ่นป้ายทะเบียนรถ คู่มือจดทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปี ต้องฟ้องอย่างไรถึงจะบังคับโอนได้
-
ซื้อบ้านจัดสรร โดยมีข้อตกลงให้ผู้ซื้อเป็นผู้ออกเงินค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ รายได้ส่วนท้องถิ่น และ อากรแสตมป์ ข้อตกลงดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ ผู้ซื้อสามารถฟ้องเรียกคืนได้ภายใน ๑๐ ปี
-
ร้านอาหารปรุงสำเร็จ อาหารพร้อมปรุง ร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า (ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ฯลฯ) เมนูอาหารต้องเป็นภาษาไทย ราคาต้องเป็นตัวเลขอารบิค ถ้าไม่มี หรือมี แต่ขายเกินราคา ถูกปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผู้แจ้งจับได้รับสินบนนำจับ ๒๕% ของค่าปรับ
-
ลูกความกล่าวต่อหน้าทนายความว่า “ไอ้ทนายเฮงซวย” เนื่องจากความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ทนายความ เป็นการดูหมิ่นทนายความ หรือไม่
-
เรื่อง ขี้หมา ขี้หมา
-
ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้ ต่างคนต่างโต้เถียงซึ่งกันและกัน เจ้าหนี้ด่าว่า “มึงโกงกู” ด้วยความโกรธ เป็นหมิ่นประมาทหรือไม่
-
ซื้อรถยนต์มือสองจากบริษัทขายรถยนต์ ต่อมารถยนต์ถูกตำรวจยึด เพราะเจ้าของรถไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย ผู้ซื้อรถต้องทำอย่างไร เสียทั้งเงินเสียทั้งรถ
-
ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวน (สทก.) เขตปฎิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่
-
เดิม ซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.โดยส่งมอบการครอบครองให้แล้ว สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ผู้ขายฟ้องขับไล่ผู้ซื้อออกจากที่ดินได้ (ฎีกา 2293/2552 และ 3424/2557) ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ผู้ขายที่ดิน ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (
-
เมียคนไทยมีชื่อและครอบครองที่ดินไว้แทนฝรั่งต่างชาติ แล้วฮุบเอาที่ดินเป็นของตนเองหรือเอาไปขาย ถ้าฝรั่งต่างชาติโวยวายเอาคืน เมียคนไทยระวังจะโดนข้อหายักยอกทรัพย์ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12250/2557) แต่ถ้าให้ใส่ชื่อไว้อย่างเดียว ไม่ได้ให้ครอบครองด้วย เอาไปขาย
-
โช้กอัพ ไม่ปรากฏในรายการจดทะเบียน ดังนั้น การโหลดโช้กอัพให้ต่ำลง และถอดนอตที่บริเวณโช้กอัพออก เป็นการเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ หรือไม่ เรื่องนี้มีคำตอบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๘๗/๒๕๕๖
-
มัดจำที่ถูกริบ หากสูงเกินไป ศาลปรับลดลงได้หรือไม่
-
ปัญหาการรับฟังเทปบันทึกเสียงในคดีอาญา เดิมต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา 226 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2551) ซึ่งมีหมายเหตุท้ายฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ควรรับฟังตาม 226/1 ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2555 วินิจฉัยว่า รับฟังได้ตาม 226/1
-
ปัญหาการรับฟังเทปบันทึกเสียงในคดีแพ่ง ถ้าคู่ความยอมรับ เสียงสนทนาเป็นของตนเองจริง ย่อมนำมารับฟังประกอบในการชั่งน้ำหนักพยานได้
-
แนวทางการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานในการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี
-
ว่าด้วยเรื่อง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
สุนัขวิ่งตัดหน้ารถ เจ้าของสุนัขต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ขับขี่หรือไม่
-
ตัวแทนจำหน่ายแต่ผู้เดียว
-
กำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๗๔ วรรคหนึ่ง (๒๗๑ (เดิม) จะต้องเริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด ไม่ใช่นับแต่คดีถึงที่สุดตามมาตรา ๑๔๗ วรรคสอง (ฎีกาที่ ๑๐๗๓๑/๒๕๕๘, ๔๖๗๓/๒๕๖๐) โดยไม่มีข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคั
-
-
คดีแรงงาน
-
เล่นอินเตอร์เน็ตพูกคุยเรื่องส่วนตัวในเวลางาน นายจ้างเลิกจ้างได้โดยชอบ
-
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่านายหน้า ค่าครองชีพ ค่าเที่ยว ค่าชั่วโมงบิน ค่าน้ำมันรถ ค่าคอมมิชชั่น ค่าโทรศัพท์ ค่ารถประจำตำแหน่ง ค่าบริการและค่าอาหาร เงินจ่ายทดแทนรถประจำตำแหน่ง เงินค่าค้างคืนนอกฝั่ง เงินจูงใจ เงินโบนัส ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่าภาษี เป็นค่าจ้างหรื
-
ค่าคอมมิสชั่นที่ได้รับจากการจำหน่ายสินค้าซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่จำหน่ายได้ในแต่ละเดือน ถือเป็นค่าจ้าง
-
หนังสือเตือนต้องมีข้อความเช่นใดจึงเป็นหนังสือเตือนที่ถูกต้อง
-
นายจ้างมีหนังสือเลิกจ้างแต่ไม่ได้ระบุเหตุผลการกระทำความผิดไว้ในหนังสือเลิกจ้าง นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างกระทำความผิดร้ายแรง ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่
-
ค่าชดเชยกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย
-
พนักงานจ้างเหมาค่าแรง(เอาท์ซอร์ส) จะต้องได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับพนักงานประจำ
-
มัคคุเทศก์อิสระ ไม่ใช่ลูกจ้าง
-
โจทก์เป็นลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็น ผู้รับจ้าง ตาม สัญญาจ้างทำของ
-
หลักการพิจารณาว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ
-
สัญญาจ้างแรงงาน มีข้อความว่า ห้ามพนักงานไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท หรือ เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำ
-
ลูกจ้างใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวต่อพวงกับอุปกรณ์ของนายจ้างในเวลาทำงานเพื่อทำการค้ากับบุคคลภายนอก นายจ้างเลิกจ้างได้หรือไม่
-
ถูกเลิกจ้าง โดยข้ออ้างไม่ผ่านการทดลองงาน โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินใดบ้าง
-
หลักเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้นเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมารวมคำนวนค่าชดเชยหรือไม่
-
ย้ายสถานประกอบกิจการ ตามมาตรา ๑๒๐ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
-
พฤติกรรมเช่นใดที่จะถือว่า เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๑๑๙(๑)
-
มาตรา ๑๑๙ วรรคท้าย หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง ต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้าง หมายความว่าอย่างไร
-
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า “หากพนักงานจะใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีต้องยื่นใบลาล่วงหน้าก่อนถึงวันลา หากไม่ใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีใดให้ถือว่าสละสิทธิการลาพักผ่อนในปีนั้น และหมดสิทธิที่จะนำไปสะสมไว้ในปีต่อไป” ข้อบังคับดังกล่าวใช้บังคับได้หรือไม่
-
สัญญาว่าจ้างนักกีฬา เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่ง
-
-
คดีเครื่องหมายการค้า
-
บรรดาภาพถ่าย ภาพวาด หรือภาพประดิษฐ์ซึ่งมีสภาพเป็นเพียงเครื่องหมายเท่านั้น ยังไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเครื่องหมายการค้าจนกว่าจะมีผู้นำภาพต่าง ๆ เช่นว่านี้มาใช้อย่างเครื่องหมายการค้า
-
เมื่อไม่ได้ใช้เครื่องหมายต่อสินค้าตามรายการสินค้าที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ และไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นการใช้อย่างเครื่องหมายการค้าแล้ว จึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้า
-
เอางานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ได้
-
(นำเข้าซ้อน) ผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่า
-
ความผิดพลาดในการนำสืบพยานคดีเครื่องหมายการค้า
-
ปัญหาบางประการเกี่ยวกับการลวงขาย
-
หลักเกณฑ์การพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าใดเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง
-
-
คดีลิขสิทธิ์
-
การบรรยายฟ้องคดีลิขสิทธิ์ที่ผิดพลาด
-
การล่อซื้อ กับ การล่อให้กระทำความผิด ผลทางกฎหมายแตกต่างกัน
-
การศึกษาหรือวิจัยอันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
-
การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
-
หมายเหตุท้ายฎีกา เรื่อง หลัก “fair use”
-
คดี นวนิยายหางเครื่อง (แนวความคิด หรือ การแสดงออกซึ่งความคิด)
-
ความคาบเกี่ยวลิขสิทธิ์กับเครื่องหมายการค้า(Big)
-
งานดัดแปลงที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ดัดแปลงจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เฉพาะงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
-
ฏีกาอาจารย์ไพจิตร
-
ตีความคำว่า แพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำ
-
ล้อเลื่อน (ไม่ใช่งานสร้างสรรค์)
-
ละเมิดบทความและชื่อ
-
ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงเด็กดอยใจดี
-
ลิขสิทธิ์ ศิลปประยุกต์
-
ลิขสิทธิ์ สิทธิของนักแสดง คดีคุณหน่อย บุษกร
-
เอกสารประชาสัมพันธ์ยังไม่ถือว่าเป็นงานสร้างสรรค์
-
การเดินแบบเสื้อผ้าไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์(คดีลูกเกตุเมทินี)
-
ตัวอย่างการปรับใช้มาตรา 32 วรรคหนึ่ง
-
คดีลิขสิทธิ์ ไม่จำต้องมีหมายค้น หมายจับ ถ้าเป็นความผิดซึ่งหน้า
-
เอาทำนองเพลงของเขาไปใช้เพียงแค่ ๒ ประโยค ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ หรือไม่
-
รูปแบบรายการเกมโชว์ เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่
-
ความคาบเกี่ยวระหว่างลิขสิทธิ์ศิลปประยุกต์กับสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์
-
แรงบันดาลใจหรือแนวความคิด กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง
-
ความคาบเกี่ยวระหว่างกฎหมายลิขสิทธิ์ กับ เครื่องหมายการค้า และ ลิขสิทธิ์ กับ สิทธิบัตร
-
-
ที่ดิน
-
คดีภาษี
-
หมายเหตุท้ายฎีกา
-
คดีทางการแพทย์
-
คดีคุ้มครองผู้บริโภค
-
คดีปกครอง
-
คดีดัง
-
-
ละเมิด
โดย:
Mix
[IP: 1.10.223.xxx]
เมื่อ: 2021-07-20 18:56:12
ผมสงสัยเรื่องการบวกมาตราเข้าด้วยกันครับถ้าความรับผิดที่เกิดจากการกระทำของเรานะครับจะต้องเป็นมาตรา420+อะไรก็ได้ในการกระทำของคน แล้วถ้าเป็นความผิดตามมาตรา425 428ต้องอาศัยมาตรา420ด้วยไหมครับ เท่าที่ผมคิดคือต้องอาศัยเพราะใน2มาตรานี้ไม่ได้บอกความผิดไว้เลยตามมาตรา420
ส่วนมาตราที่เกิดจากการกระทำของทรัพย์สิน หรือสัตว์เนี่ยครับต้องอาศัยมาตรา420ไหมครับ
ส่วนมาตราที่เกิดจากการกระทำของทรัพย์สิน หรือสัตว์เนี่ยครับต้องอาศัยมาตรา420ไหมครับ
ปพพ. ม.420 เป็นหลักการของการละเมิด คืออธิบายบอกว่า การละเมิดคืออะไร ( จงใจ ปะมาทเลินเล่อ ฯ ต้องชดใช้ค่าสินไหมฯ) ส่วน ม.อื่นๆ เช่น ม.425 ม.428 เป็นเรื่องของรับผิดของนายจ้าง นายจ้างจะต้องรับผิดหรือไม่ ก็ต้องเปฺ็นไปตามหลักการ ของ ม.420 ก็จำเป็นต้องอ้างอิงเกี่ยวเนื่องกัน...แม้แต่ในคำพิพากษาของศาลฎีกา ก็ยังต้องอ้างอิง ม.420 ประกอบเสมอ...ดังตัวอย่าง
ฎีกาที่ 292/2542
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาแพทย์และเป็นผู้ชำนาญพิเศษ ในแขนงสาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งจากประเทศญี่ปุ่น จำเลยที่ 2 กระทำการผ่าตัดหน้าอกโจทก์ ที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงตามสภาพปกติที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 หลังผ่าตัดแล้วจำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปผ่าตัดแก้ไขที่คลีนิกจำเลยที่ 2 อีก 3 ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์จึงให้แพทย์อื่น ทำการรักษาต่อโดยเดิมจำเลยที่ 2 ทำการผ่าตัดหน้าอกในวันที่ 12 เมษายน 2537 รักษาตัว ที่โรงพยาบาล 1 วัน วันที่ 13 เมษายน 2537 จำเลยที่ 2 อนุญาตให้โจทก์กลับบ้าน วันที่ 15 เมษายน 2537 จำเลยที่ 2 เปิดแผลพบมีน้ำเหลืองไหลบริเวณปากแผลทรวงอกไม่มีร่องอก มีก้อนเนื้ออยู่บริเวณ รักแร้ด้านขวา เต้านมด้านซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าด้านขวา และส่วนที่เป็นหัวนมจะมีบาดแผลที่คล้ายเกิดจากการถูกไฟไหม้ จำเลยที่ 2 รับว่าเกิดจากการผิดพลาดในการผ่าตัดแล้วแจ้งว่าจะดำเนินการแก้ไขให้ จำเลยที่ 2นัดให้โจทก์ไปทำแผลดูดน้ำเหลืองออกจากบริเวณทรวงอก และได้มีการผ่าตัดแก้ไขทรวงอกอีก 3 ครั้งแต่โจทก์เห็นว่าทรวงอกไม่มีสภาพดีขึ้น ประกอบกับระยะเวลาล่วงเลยมานานจึงเปลี่ยนแพทย์ใหม่ และแพทย์ที่ทำการรักษาต่อจากจำเลยที่ 2 ได้ทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขทรวงอก 3 ครั้ง จนมีสภาพทรวงอกดีขึ้นกว่าเดิม การที่แพทย์ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผ่าตัดมามีข้อบกพร่องต้องแก้ไขยิ่งกว่านั้นการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้านเลเซอร์ผ่าตัด แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์เป็นพิเศษ การที่จำเลยที่ 2 ผ่าตัดโจทก์เป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดโจทก์เพื่อแก้ไขถึง 3 ครั้ง ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังในการผ่าตัดและไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงขั้นตอนการรักษาระยะเวลาและกรรมวิธีในการดำเนินการรักษาจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ที่คลีนิกของจำเลยที่ 2 เมื่อตกลงจะผ่าตัดจำเลยที่ 2 จึงตกลงให้โจทก์เข้าผ่าตัดในโรงพยาบาลของจำเลยที่ 1 เพียงเท่านี้ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 หรือเป็นตัวการมอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำการผ่าตัดให้โจทก์ จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยภายหลังจากที่โจทก์ทำการผ่าตัดกับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์มีอาการเครียดเนื่องจากมีอาการเจ็บปวดต่อมาภายหลังพบว่าการทำศัลยกรรมไม่ได้ผลทำให้โจทก์เครียดมากกังวลและนอนไม่หลับรุนแรงกว่าก่อนผ่าตัด โจทก์จึงให้แพทย์อื่นทำการรักษา ดังนี้ แม้โจทก์จะมีการเครียดอยู่ก่อนผ่าตัด แต่เมื่อหลังผ่าตัดอาการมากขึ้นกว่าเดิมความเครียดของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัด จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องรักษาจริง ส่วนค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายหลังจากแพทย์โรงพยาบาลอื่นได้รักษาโจทก์อยู่ในสภาพปกตแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้นอีก
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการโรงพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นศัลยแพทย์และเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2537 โจทก์ได้เข้าทำการศัลยกรรมเต้านมที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะลูกจ้างหรือตัวแทนเป็นผู้ทำศัลยกรรมลดขนาดเต้านมของโจทก์ให้เล็กลง แต่จำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้สภาพเต้านมทั้งสองข้างกลายเป็นก้อนเนื้อที่ติดกันเพียงก้อนเดียวและหมดความรู้สึกในการตอบสนองการสัมผัสและไม่มีหัวนม หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้วมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงเป็นเหตุให้มีน้ำเหลืองไหลออกมาเป็นจำนวนมาก การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในการรักษาเต้านมเพิ่มขึ้นจำนวน 73,135 บาท และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงินจำนวน 1,200,000 บาท ทั้งโจทก์จะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลในอนาคตอีกเป็นจำนวน 700,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาแพทย์และเป็นผู้ชำนาญพิเศษในแขนงสาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2537 จำเลยที่ 2 กระทำการผ่าตัดหน้าอกโจทก์ที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงมีสภาพปกติที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 หลังผ่าตัดแล้วจำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปผ่าตัดแก้ไขที่คลีนิกจำเลยที่ 2 อีก 3 ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์จึงให้แพทย์อื่นทำการรักษาต่อ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ทำการผ่าตัดหน้าอกในวันที่ 12 เมษายน 2537 รักษาตัวที่โรงพยาบาล 1 วัน วันที่ 13 เมษายน 2537 จำเลยที่ 2 อนุญาตให้โจทก์กลับบ้าน วันที่ 15 เมษายน 2537 จำเลยที่ 2 เปิดแผลพบมีน้ำเหลืองไหลบริเวณปากแผลทรวงอกไม่มีร่องอกมีก้อนเนื้ออยู่บริเวณรักแร้ด้านขวา เต้านมด้านซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าด้านขวา และส่วนที่เป็นหัวนมจะมีบาดแผลที่คล้ายเกิดจากการถูกไฟไหม้ พยานสอบถามจำเลยที่ 2 บอกว่าเกิดจากการผิดพลาดในการผ่าตัดแล้วแจ้งว่าจะดำเนินการแก้ไขให้ จำเลยที่ 2 นัดให้พยานไปทำแผลดูดน้ำเหลืองออกจากบริเวณทรวงอก และได้มีการผ่าตัดแก้ไขทรวงอกอีก 3 ครั้ง หลังจากนั้นพยานเห็นว่าทรวงอกไม่มีสภาพดีขึ้น ประกอบกับระยะเวลาล่วงเลยมานานจึงเปลี่ยนแพทย์ใหม่ และนายดิลก เต็มเสถียร ซึ่งเป็นแพทย์ที่ทำการรักษาต่อจากจำเลยที่ 2 เบิกความสนับสนุนว่าโจทก์แจ้งกับพยานว่าได้ทำศัลยกรรมทรวงอกโดยการผ่าตัดมาแต่ยังไม่เป็นที่พอใจ ขอให้พยานทำการแก้ไข ขณะที่โจทก์มาพบพยานบริเวณทรวงอกของโจทก์มีรอยแผลการผ่าตัดมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด แต่ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวยังทำศัลยกรรมไม่แล้วเสร็จ พยานทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขทรวงอก 3 ครั้ง ปัจจุบันมีสภาพทรวงอกดีขึ้นกว่าเดิมเห็นว่า พยานทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดคนหลังเป็นพยานคนกลางสอดคล้องกับโจทก์ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองน่าเชื่อ มีน้ำหนักรับฟังได้แม้พยานโจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดและรักษาพยาบาลโจทก์อย่างไร แต่การที่นายแพทย์ดิลกทำการผ่าตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผ่าตัดมามีข้อบกพร่อง จึงต้องแก้ไข ยิ่งกว่านั้นการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้านเลเซอร์ผ่าตัด แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์เป็นพิเศษ แต่การที่จำเลยที่ 2 ผ่าตัดโจทก์เป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดโจทก์เพื่อแก้ไขถึง 3 ครั้งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังในการผ่าตัดและไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงขั้นตอนการรักษา ระยะเวลา และกรรมวิธีในการดำเนินการรักษา จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์
ส่วนประเด็นพิพาทข้ออื่นที่ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัยซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานในสำนวนโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก่อน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่โจทก์มีนายเพียรเทพ พงษ์สะบุตร บุตรชาย ของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า พยานกับโจทก์ได้ไปพบจำเลยที่ 2 ที่คลีนิกซึ่งเปิดอยู่บริเวณสุโขทัยแมนชั่น จำเลยที่ 2 แนะนำว่าโจทก์ควรทำศัลยกรรมทรวงอกโดยใช้แสงเลเซอร์ โจทก์ตกลงรับรักษากับจำเลยที่ 2 และตกลงกันว่าให้โจทก์เข้าทำการรักษาผ่าตัดที่โรงพยาบาลรามคำแหงจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองเรียกค่ารักษาพยาบาลโจทก์จำนวน 100,000 บา โดยพยานสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 2 จำนวน 70,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 30,000 บาท จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1ส่วนจำเลยนำสืบว่าการผ่าตัดรายใหญ่ที่นำไปรักษาตามโรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลจะคิดค่าห้องค่ารักษา และค่ายา ส่วนค่าผ่าตัดนั้นแพทย์ผู้ผ่าตัดจะคิดจากคนไข้ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ผ่าตัดแต่เพียงผู้เดียว และมีหมอดมยาและพยาบาลของโรงพยาบาลเป็นผู้ช่วยเห็นว่า โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าโจทก์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ที่คลีนิกของจำเลยที่ 2 เมื่อตกลงจะผ่าตัดจำเลยที่ 2 จึงตกลงให้โจทก์เข้าผ่าตัดในโรงพยาบาลของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ตามทางนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 หรือเป็นตัวการมอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำการผ่าตัดให้โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงหาจำต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไม่
ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่โรงพยาบาลรามคำแหงเป็นเงิน 29,826 บาท ค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลปิยะเวทเป็นเงิน 73,135.70 บาท และค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสมิติเวช 33,624 บาท และ 52,927 บาท โจทก์มีหลักฐานมาแสดง มีน้ำหนักรับฟังได้ เชื่อว่าโจทก์จ่ายไปจริง ส่วนค่าผ่าตัดของจำเลยที่ 2 แม้จะไม่มีหลักฐานใบรับเงินแต่จำเลยที่ 2 เบิกความรับ จึงรับฟังได้ รวมค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 259,512.70 บาท นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายแพทย์ธานี เสทะธัญ ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการเบิกความว่า ภายหลังจากที่โจทก์ทำการผ่าตัดกับจำเลยที่ 2 แล้ว มีอาการเครียดเนื่องจากมีอาการเจ็บปวด ต่อมาภายหลังพบว่าการทำศัลยกรรมไม่ได้ผล ทำให้โจทก์เครียดมาก กังวลและนอนไม่หลับรุนแรงกว่าก่อนผ่าตัด พยานจึงทำการรักษา เห็นว่า แม้โจทก์จะมีการเครียดอยู่ก่อนผ่าตัดแต่เมื่อหลังผ่าตัดอาการมากขึ้นกว่าเดิม ความเครียดของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัด จำเลยต้องรับผิด และแม้ไม่มีใบเสร็จมาแสดงว่าได้เสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าใดแน่นอน แต่น่าเชื่อว่าโจทก์ต้องรักษาจริง จึงเห็นสมควรกำหนดค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 309,512.70 บาท เมื่อจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหายไปดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้คืนให้โจทก์ส่วนค่าเสียหายอย่างอื่นนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากแพทย์โรงพยาบาลอื่นได้รักษาโจทก์อยู่ในสภาพปกติแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 309,512.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 1
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446