ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่านายหน้า ค่าครองชีพ ค่าเที่ยว ค่าชั่วโมงบิน ค่าน้ำมันรถ ค่าคอมมิชชั่น ค่าโทรศัพท์ ค่ารถประจำตำแหน่ง ค่าบริการและค่าอาหาร เงินจ่ายทดแทนรถประจำตำแหน่ง เงินค่าค้างคืนนอกฝั่ง เงินจูงใจ เงินโบนัส ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่าภาษี เป็นค่าจ้างหรื
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11912/2553
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541มาตรา 5
นิยาม
"ค่าจ้าง"หมายความว่า"เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น..."ซึ่งตามสัญญาว่าจ้างคนประจำเรือระบุเรื่องค่าจ้างและการจ่ายค่าจ้างไว้ในข้อ
3และระบุค่าเบี้ยเลี้ยงไว้ในข้อ 3.2 เพียงว่าค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 140
บาทซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงให้โจทก์ที่ปฏิบัติงานบนเรือเป็นอัตราแน่นอนทุกเดือนระหว่างออกไปปฏิบัติงานโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายเรือทำงานประจำบนเรือจะต้องปฏิบัติงานที่อื่นใดนอกจากบนเรือดังกล่าวเบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายโจทก์จึงเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์เป็นรายเดือนการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้างเมื่อรวมกับเงินเดือนแล้วโจทก์จึงได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ84,200
บาท จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7891/2553
ค่านายหน้าในการยึดรถเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยคำนวณจากจำนวนรถที่ลูกจ้างยึดได้ในอัตราแน่นอนคันละ
10,000บาท นอกเหนือจากค่าจ้างรายเดือนอัตราเดือนละ 9,500 บาท
ที่กำหนดจ่ายให้ทุกวันที่ 25
ของเดือนจึงเป็นการจ่ายให้เป็นค่าตอบแทนในการทำงานคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาปกติของวันทำงานถือเป็นค่าจ้างตาม
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา
5ซึ่งนายจ้างต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปีตามมาตรา
9 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8938- 8992/2552
การที่จำเลยจ่ายค่าครองชีพให้ลูกจ้างมีจำนวนแน่นอนและจ่ายให้เป็นประจำทุกเดือนเช่นเดียวกับเงินเดือนโดยไม่คำนึงว่าลูกจ้างจะหยุดงานหรือไม่เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าค่าครองชีพเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของลูกจ้างค่าครองชีพจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631- 3667/2552
โจทก์ทั้งสามสิบเจ็ดเป็นพนักงานขับรถยนต์บรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยทำหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกไปส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของจำเลยทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยได้รับเงินเดือนและค่าเที่ยวอีกส่วนหนึ่งเมื่อจำเลยกำหนดค่าเที่ยวให้โจทก์ทั้งสามสิบเจ็ดตามระยะทางเป็นสำคัญโดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาในการขับรถแสดงว่าค่าเที่ยวไม่ได้จ่ายเพื่อตอบแทนการขับรถในส่วนที่เกินเวลาทำงานปกติแต่มีลักษณะเป็นการตอบแทนการเดินทางไปปฏิบัติงานในเวลาทำงานปกติทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยตกลงให้จ่ายค่าเที่ยวเป็นการตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติเงินค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างโดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา
5 แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
และโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาแต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) (กฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่
12 (พ.ศ.2541) ข้อ 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7287/2550
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยเป็นประการสุดท้ายว่าเงินค่าเที่ยวหรือเบี้ยเลี้ยงที่นายสมศักดิ์ได้รับจากโจทก์เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยหรือไม่โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะจ่ายให้เป็นค่าตอบแทนการทำงานปกติจึงไม่ต้องนำค่าเที่ยวส่วนที่ทำในเวลางานปกติร้อยละ
30 มารวมคำนวณกับค่าจ้างปกติและจำเลยอุทธรณ์ว่าต้องนำค่าเที่ยวส่วนที่ทำนอกเวลางานปกติร้อยละ
70 มาคำนวณรวมกับค่าเที่ยวส่วนที่ทำในเวลางานปกติร้อยละ30 ด้วยนั้น เห็นว่า
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 นิยามคำว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า
“เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือน
หรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้”ดังนั้น
ค่าจ้างจึงต้องเป็นค่าตอบแทนในการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่
24 ธันวาคม 2547 ได้ความว่านายสมศักดิ์ได้รับค่าเที่ยวจำนวนเที่ยวละ 100บาท ถึง
650 บาท
โดยนายจ้างและลูกจ้างเป็นผู้ตกลงกำหนดตามระยะทางใกล้ไกลและความยากง่ายของงานสำหรับการทำงานในเวลาทำงาน180
วัน ก่อนการเลิกจ้างคิดเป็นเงิน 45,750
บาทเป็นการทำงานในระหว่างเวลาทำงานปกติคิดเป็นร้อยละ
30ของค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวทั้งหมด และทำงานนอกเวลาทำงานปกติคิดเป็นร้อยละ
70ของค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวทั้งหมดค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์และนายสมศักดิ์ตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างและส่วนที่ตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาทำงานปกติร้อยละ
30ตามที่คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันจึงเป็นค่าจ้างแต่ส่วนที่ตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติร้อยละ70
ไม่เป็นค่าจ้างค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวที่เป็นค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจำนวนร้อยละ30
ของค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวทั้งหมดจำนวน 45,750 บาทคิดเป็นเงิน 13,725 บาท
เมื่อคำนวณเป็นรายเดือนจึงเป็นเงินเดือนละ2,287.50
บาทเมื่อรวมกับเงินเดือนที่นายสมศักดิ์ได้รับเดือนละ 5,500
บาทจึงเป็นเงินค่าจ้างเดือนละ 7,787.50
บาทนายสมศักดิ์ทำงานติดต่อกันครบสามปีแต่ไม่ครบหกปีโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายสมศักดิ์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541
มาตรา 118
(3)นายสมศักดิ์ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย
180วัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,725 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2549
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า
ค่าชั่วโมงบินเป็นค่าจ้างหรือไม่เห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่าการปฏิบัติงานบนเครื่องบินเป็นการทำงานในเวลาทำงานปกติของนางสาวสาวิตรีแม้ค่าชั่วโมงบินที่นางสาวสาวิตรีได้รับในแต่ละเดือนจะมีจำนวนไม่แน่นอนและไม่เท่ากันแต่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างก็จ่ายค่าชั่วโมงบินให้แก่นางสาวสาวิตรีเมื่อมีการปฏิบัติงานบนเครื่องบินในแต่ละเดือนทุกเดือนตามอัตราที่คำนวณจากเวลาที่ได้ปฏิบัติงานบนเครื่องบินค่าชั่วโมงบินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่นางสาวสาวิตรีเป็นการตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงของวันทำงานจึงเป็นค่าจ้าง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541มาตรา 5
ที่จำเลยนำค่าชั่วโมงบินมารวมเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยด้วยจึงชอบแล้ว
อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4842/2548
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่ามีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าค่าน้ำมันรถมิได้เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่จำเลยจึงไม่ใช่ค่าจ้างที่จะนำไปรวมคำนวณเป็นค่าชดเชยหรือไม่
เห็นว่าจำเลยเหมาจ่ายค่าน้ำมันรถให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนทุกเดือน เดือนละ 3,000บาท
เพื่อชดเชยกับการที่โจทก์ใช้รถยนต์ส่วนตัวของโจทก์ไปในการทำงานให้แก่จำเลยค่าน้ำมันดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างย่อมไม่เป็นค่าจ้างตาม
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา5
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเป็นค่าจ้างแล้วนำไปรวมกับเงินเดือนเพื่อคำนวณเป็นค่าชดเชยที่จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนั้น
โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพียง 60,000 บาทเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5394 - 5404/2547
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าตามพ.ร.บ.
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติความหมายของคำว่า"ค่าจ้าง"
ไว้ว่าคือเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายเดือน หรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตาม
ผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานเมื่อเงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวจำเลยได้จ่ายให้โจทก์ทุกคนเมื่อโจทก์ทุกคนทำตามหน้าที่ของตนซึ่งจำเลยกำหนดอัตราไว้แน่นอนว่าเที่ยวหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใดสามารถคำนวณได้ตามจำนวนเที่ยวที่ทำได้ในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงานอันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์ทุกคนเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงานมิใช่จงใจจ่ายไปเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงานฉะนั้นเงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวจึงเป็น
"ค่าจ้าง" ตามความหมายของพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7402 - 7403/2544
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสำนวนประการแรกว่าค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสองรวมคนละ
6,000บาท ต่อเดือนนั้นเป็นค่าจ้างหรือไม่
เห็นว่าการที่จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ให้แก่โจทก์ทั้งสองในลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือนเป็นเงินเดือนละ
6,000 บาท เท่า
ๆกันทุกเดือนโดยไม่คำนึงว่าโจทก์ทั้งสองจะได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์หรือไม่หรือได้ใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดอีกทั้งโจทก์ทั้งสองไม่ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถหรือใบเสร็จค่าโทรศัพท์เป็นหลักฐานในการรับเงินดังกล่าวอีกด้วยเงินค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างระหว่างจำเลยและโจทก์ทั้งสองจึงถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.
2541 มาตรา 5
คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางที่ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยนำเอาค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ไปรวมเข้ากับเงินเดือนอัตราสุดท้ายของโจทก์ทั้งสองเป็นฐานในการคำนวณด้วยจึงชอบแล้วอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6689/2542
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเงินค่ารถประจำตำแหน่งไม่ใช่ค่าจ้างเพราะมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานแต่เป็นเงินสวัสดิการที่จ่ายให้เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลพนักงาน
จะนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงานไม่ได้นั้นเห็นว่า ตามสัญญาจ้างแรงงาน
เอกสารหมาย จ.5จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ65,000 บาท และเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ
15,000
บาทให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ
15,000
บาทจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนทำนองเดียวกับเงินเดือนเงินผลตอบแทนที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้างหาใช่เป็นเพียงค่าสวัสดิการดังที่จำเลยอ้างไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8794/2550
มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายตามข้อ2.2
ถึงข้อ 2.4
ว่าค่าบริการและค่าอาหารที่จำเลยให้โจทก์เป็นค่าจ้างหรือไม่และโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มหรือไม่โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าค่าบริการเป็นเงินที่จำเลยเก็บรวบรวมจากลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรมในแต่ละเดือนก่อนที่จะแบ่งเฉลี่ยจ่ายแก่พนักงานทุกคนจำเลยได้หักค่าบริการไว้ร้อยละสิบเป็นต้นทุนสิ่งของที่แตกหักชำรุดจึงเป็นเงินที่จำเลยตกลงจ่ายเงินแก่พนักงานหลังหักต้นทุนแล้วส่วนค่าอาหารเป็นเงินที่จำเลยตกลงจ่ายแก่โจทก์ทุกเดือนจำนวนเท่ากันและจำเลยนำค่าอาหารเป็นฐานคำนวณรายได้ประจำปีเพื่อเสียภาษีจึงเป็นค่าจ้างที่ต้องคำนวณเป็นค่าชดเชยกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มแก่โจทก์นั้นเห็นว่า
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 บัญญัติว่า “ค่าจ้าง
หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวันรายสัปดาห์
รายเดือน
หรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้”
ค่าจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีสาระสำคัญ 3 ประการคือ ประการแรก
ค่าจ้างต้องเป็นเงินที่นายจ้างกับลูกจ้างตกลงจ่ายกันตามสัญญาจ้างประการที่สองเงินที่จ่ายดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานหรือผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลาทำงานปกติของวันทำงานประการที่สามเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541เมื่อปรากฏว่าในส่วนของค่าอาหารนั้นจำเลยไม่ได้จ่ายเป็นเงินให้แก่พนักงานเพียงแต่จัดเป็นอาหารให้คำนวณต่อคนเป็นค่าอาหารละ832
บาท เท่านั้น จึงไม่ใช่
“เงิน”ที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างและปรากฏตามเอกสารเรื่องการปรับราคาค่าอาหารและหอพักเพื่อคำนวณภาษีว่าจำเลยได้จัดอาหารและหอพักให้พนักงานอาศัยเป็นสวัสดิการโดยคำนวณเป็นค่าอาหารและค่าหอพักเพื่อถือเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษีค่าอาหารดังกล่าวจึงเป็นเพียงสวัสดีการที่จำเลยจัดให้แก่ลูกจ้างเท่านั้นมิใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 5ส่วนค่าบริการนั้นตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.2
ระบุว่าเป็นเงินที่นายจ้างเรียกเก็บเงินจากแขกผู้มาใช้บริการร้อยละสิบแล้วนำมาจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนจำนวนตั้งแต่ร้อยละเจ็ดสิบของค่าบริการทั้งหมดในปี2540
จนถึงร้อยละเก้าสิบของค่าบริการทั้งหมดตั้งแต่ปี 2543
เป็นต้นมาและปรากฏตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าส่วนที่เหลืออีกร้อยละสิบนั้นจำเลยหักไว้เพื่อเป็นต้นทุนของสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ที่แตกหักชำรุดเสียหายในแต่ละเดือนเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างแต่ละคราวจำเลยก็จะนำเงินค่าบริการมาแบ่งเฉลี่ยแก่ลูกจ้างคนละเท่าๆกัน
ดังนั้น
การที่ลูกจ้างโจทก์จะได้รับค่าบริการมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับจำนวนค่าใช้จ่ายของลูกค้าเป็นสำคัญทั้งไม่ปรากฏว่าหากเป็นกรณีที่จำเลยไม่ได้รับเงินค่าบริการไว้หรือเงินค่าบริการที่รับไว้มีจำนวนน้อยกว่าอัตราเฉลี่ยที่จ่ายประจำเดือนแล้วจำเลยจะต้องจ่ายเงินของจำเลยเพิ่มให้ลูกจ้างแต่อย่างใดการหักค่าบริการไว้ร้อยละสิบในแต่ละเดือนก็เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเพื่อชดเชยความชำรุดของทรัพย์สินที่อาจเสียหายจากการทำงานของลูกจ้างตามปกติของการทำงานจำเลยจึงไม่ได้มีส่วนได้เสียกับค่าบริการการที่จำเลยเป็นผู้เรียกเก็บจากลูกค้าและเป็นผู้จัดแบ่งให้แก่ลูกจ้างเป็นกรณีที่จำเลยทำแทนลูกจ้างเพื่อความสะดวกและเพื่อให้กิจการของจำเลยดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยดังนั้นค่าบริการจึงมิใช่เงินของนายจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานหรือผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลาทำงานปกติของวันทำงานและมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541ค่าบริการจึงมิใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 5
เช่นกันจำเลยจึงไม่ต้องนำค่าอาหารและค่าบริการเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินค้าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มที่ศาลแรงงานภาค
8 พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8211/2550
เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เดือนละ
20,000 บาท
เป็นค่าจ้างที่จะต้องนำไปรวมคำนวณเป็นค่าชดเชยที่จำเลยจะต้องจ่ายพร้อมเงินเพิ่มและดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่เห็นว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเคยจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้แก่โจทก์ซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการภาคใต้ต่อมาจำเลยยกเลิกรถยนต์ประจำตำแหน่งของโจทก์เนื่องจากมีอายุการใช้งานเกิน
5 ปีแล้วจำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 20,000 บาทตั้งแต่วันที่ 30
พฤษภาคม
2545อันเป็นวันหลังจากที่เรียกรถยนต์ประจำตำแหน่งคืนจากโจทก์เป็นต้นไปการจ่ายเงินให้แทนรถยนต์ประจำตำแหน่งเพื่อให้โจทก์นำเงินดังกล่าวไปซื้อหรือเช่ารถยนต์สำหรับใช้งานแทนรถยนต์ประจำตำแหน่งที่เรียกคืนและข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่าจำเลยจะจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้พนักงานตำแหน่งระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปเท่านั้นดังนั้นรถยนต์ประจำตำแหน่งจึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้แก่พนักงานที่ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวเมื่อจำเลยเรียกรถยนต์ประจำตำแหน่งคืนแล้วจ่ายเงินเดือนละ
20,000
บาทให้แก่โจทก์เพื่อซื้อหรือเช่ารถยนต์สำหรับใช้งานแทนรถยนต์ประจำตำแหน่งจึงเป็นการจ่ายเพื่อเป็นสวัสดิการเช่นเดียวกันมิใช่เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายเดือนแม้จะจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวนแน่นอนเท่าๆกันทุกเดือน
ก็มิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา
5ที่จะต้องนำไปรวมคำนวณจ่ายเป็นค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541มาตรา 118
และเมื่อจำเลยไม่ต้องนำเงินดังกล่าวไปรวมคำนวณจ่ายเป็นค่าชดเชยแล้วจึงมิใช่กรณีที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยที่จะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ15
ต่อปีหรือเป็นกรณีนายจ้างจงใจไม่จ่ายค่าชดเชยโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541
มาตรา 9
วรรคหนึ่งและวรรคสองแต่อย่างใดที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9016 - 9043/2549
ส่วนที่โจทก์ทั้งยี่สิบแปดอุทธรณ์ในข้อ2.1
ว่า เงินค่าค้างคืนนอกฝั่งและค่าพาหนะเป็นค่าจ้างนั้น เห็นว่า
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 มาตรา 5 นิยามคำว่า “ค่าจ้าง”
หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานฯดังนั้นค่าจ้างจึงต้องเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายโดยการจ่ายนั้นเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างและเป็นการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติหรือตามผลงานที่ทำได้ในเวลาทำงานปกติศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าเงินค่าค้างคืนนอกฝั่งเป็นเงินที่คำนวณจากการทำงานล่วงเวลาซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 5 นิยามคำว่า “การทำงานล่วงเวลา” หมายความว่าการทำงานนอกหรือเกินเวลาทำงานปกติหรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันตามมาตรา23
ในวันทำงานหรือวันหยุดแล้วแต่กรณี
ดังนั้นเงินค่าค้างคืนนอกฝั่งจึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานนอกหรือเกินเวลาทำงานปกติที่โจทก์ทั้งยี่สิบแปดอุทธรณ์ว่าการทำงานของโจทก์ทั้งยี่สิบแปดในชั่วโมงที่เก้าถึงชั่วโมงที่สิบสองในช่วงที่ค้างคืนนอกฝั่งเป็นระยะเวลาการทำงานตามปกติของโจทก์ทั้งยี่สิบแปดจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนเงินค่าพาหนะนั้นศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าการทำงานบนเรือมีรอบการทำงานยี่สิบแปดวันและหยุดพักไม่ต้องทำงานยี่สิบแปดวันเงินค่าพาหนะเป็นเงินที่จำเลยที่
1เหมาจ่ายให้เป็นค่าเดินทางจากภูมิลำเนาที่พักเดินทางมายังท่าเรือจังหวัดระยองเพื่อไปขึ้นทำงานบนเรือทานตะวันเอ็กซ์พลอเรอร์
จะให้ต่อเมื่อต้องเดินทางมาเพื่อขึ้นไปทำงานบนเรือเท่านั้นหากมิใช่รอบที่จะไปทำงานบนเรือก็จะไม่ได้รับเงินค่าพาหนะและโจทก์แต่ละคนได้รับไม่เท่ากัน
เห็นว่า การจ่ายค่าพาหนะดังกล่าวแม้จะจ่ายโดยเหมาจ่ายให้
แต่เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบแปดมีกำหนดเวลาทำงานติดต่อกันเป็นช่วงช่วงละยี่สิบแปดวันที่ต้องปฏิบัติงานนอกฝั่งและช่วงที่ไม่ต้องปฏิบัติงานนอกฝั่งอีกยี่สิบแปดวันสลับกันไปเงินค่าพาหนะจะจ่ายให้เฉพาะช่วงที่ต้องปฏิบัติงานนอกฝั่งและได้รับจำนวนไม่เท่ากันดังนั้น
จึงเป็นการจ่ายเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างสำหรับค่าเดินทางจากภูมิลำเนาไปยังท่าเรือจังหวัดระยองมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติในวันทำงานของโจทก์ทั้งยี่สิบแปดและมิได้ประสงค์จะจ่ายเป็นค่าจ้างจึงมิใช่ค่าจ้างตามมาตรา
5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าค่าพาหนะนี้เป็นเพียงสวัสดิการที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่านั้นมิใช่ค่าจ้างจึงชอบแล้ว
อุทธรณ์โจทก์ทั้งยี่สิบแปดในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2548
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่าเงินจูงใจที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์นั้นเป็นค่าจ้างหรือไม่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา5 บัญญัติคำว่า ค่าจ้างว่า
“ค่าจ้างหมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์
รายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้”
ค่าจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวคือเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานสำหรับการทำงานหรือผลงานที่ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานหากนายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างด้วยวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงเช่น
นายจ้างจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างในด้านต่างๆ
อันเป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างหรือจ่ายเงินพื่อจูงใจในการทำงานอันเป็นการสร้างขวัญและกำสังใจในการทำงานมิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงก็มิใช่ค่าจ้างศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าเงินจูงใจเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานขายโดยคำนวณให้ตามผลงานที่พนักงานสามารถทำยอดขายได้ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดตามเป้าหมายที่โจทก์กำหนดเป็นรายเดือนรายไตรมาส(3
เดือน)
และรายปีซึ่งเป็นจำนวนเงินที่จ่ายไม่แน่นอนไม่เท่ากันทุกเดือนโดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายตามเอกสารหมายจ.11
ซึ่งโจทก์จะกำหนดเป็นปีๆ ไปหากพนักงานทำงานขายได้ต่ำกว่าเป้าที่กำหนด
ก็จะไม่ได้รับเงินจูงใจ
เห็นว่าโจทก์ได้จ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนประจำให้แก่พนักงานขายเพื่อตอบแทนการทำงานขายในเวลาทำงานปกติของวันทำงานซึ่งรวมทั้งเงินค่าจ้างในวันหยุดและวันเวลาที่พนักงานขายไม่ได้ทำงานด้วยส่วนเงินจูงใจนั้นโจทก์ตกลงจ่ายให้เฉพาะพนักงานที่ทำยอดขายได้ตามเป้าที่โจทก์กำหนดอันเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานขายทำยอดขายเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง
อีกทั้งโจทก์ตกลงจ่ายเงินจูงใจเป็นรายเดือนรายไตรมาส หรือรายปี
อันมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานเงินจูงใจจึงมิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 5
โจทก์ไม่ต้องนำเงินจูงใจมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยการที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยเพิ่มขึ้นให้แก่
พนักงานที่โจทก์เลิกจ้างโดยนำเงินจูงใจมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วยนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541
มาตรา 118 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยที่ 8/2546 ลงวันที่ 21
มีนาคม2546 นั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนและพิพากษาฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2548
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
“มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินโบนัส
เงินค่าน้ำและเงินค่าไฟฟ้าที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นเงินค่าจ้างที่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยหรือไม่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเงินโบนัสโจทก์ได้รับเป็นประจำทุกปีโดยจำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ปีละ1
ครั้ง พร้อมกับเงินเดือน งวดที่ 12
ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมของแต่ละปีมิใช่แบ่งจ่ายเป็นงวดดังเช่นการจ่ายเงินเดือน
และระบุการจ่ายว่าเป็นเงินโบนัสสำหรับค่าน้ำและค่าไฟฟ้าแต่เดิมจำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ต่อเมื่อต้องมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงประกอบการเบิกจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริงตามเอกสารหมายล.
5 ข้อ 3 แสดงให้เห็นว่าค่าน้ำและค่าไฟฟ้าเป็นการจ่ายเพื่อเป็นสวัสดิการโดยแท้
ไม่มีเจตนาที่จะจ่ายให้เป็นเงินค่าจ้างแม้ต่อมาโจทก์จะไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดงก็เนื่องจากโจทก์เป็นผู้บริหารระดับสูงเป็นการอำนวยความสะดวกและให้เกียรติโจทก์
และเป็นจำนวนเงินไม่มากจึงเหมาจ่ายให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเงินดังกล่าวนี้ก็ยังคงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นสวัสดิการเช่นเดิมดังนั้น
ทั้งเงินโบนัส
เงินค่าน้ำและเงินค่าไฟฟ้าจึงไม่ใช่เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานจึงมิใช่ค่าจ้างที่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชย
ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9096/2546
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่าค่าเช่าบ้านที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทุกเดือน
เดือนละ 1,500 บาท เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 5 นิยามศัพท์คำว่าค่าจ้าง หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติฯลฯ
แต่เมื่อพิจารณาจากข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวด 9สวัสดิการ ระบุว่า
1. วัตถุประสงค์ บริษัท ฯ
ได้กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆในหมวดนี้ขึ้นเพื่อให้พนักงานทุกคนของบริษัท
ฯเป็นผู้มีสุขภาพพลานัยสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจมีความสามัคคีในหมู่คณะตลอดจนเพื่อช่วยให้พนักงานและครอบครัว
มีมาตรฐานการดำรงชีพสูงขึ้นจากที่ควรจะเป็นตามอัตราเงินเดือนของพนักงานแต่ละคนอันจะเป็นผลให้พนักงานทำงานได้โดยปราศจากข้อบกพร่องหรือมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดและผลที่บริษัทฯได้รับในที่สุดก็คือการดำเนินการอย่างราบรื่นมีสมานฉันท์และประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ
2. นโยบาย บริษัท ฯ จะให้สวัสดิการต่าง
ๆแก่พนักงานตามที่บริษัท ฯ
เห็นสมควรโดยจะพิจารณาจากประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในการจัดสวัสดิการ
ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและสภาพการณ์ประกอบกับความสามารถของบริษัท ฯ
ในการจัดสวัสดิการนั้น ๆ
ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยจ่ายค่าเช่าบ้านแก่ลูกจ้างเพื่อเป็นการช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัยค่าเช่าบ้านจึงเป็นเพียงสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติแม้จะมีการจ่ายเงินจำนวนนี้แน่นอนทุกเดือน
ก็มิใช่ค่าจ้าง
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าค่าเช่าบ้านเป็นค่าตอบแทนการทำงานปกติของวันทำงานและนำมารวมกับเงินเดือนเป็นค่าจ้างนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
เพราะค่าจ้างที่โจทก์มีสิทธิได้รับคือเงินเดือน เดือนละ 9,490บาท เท่านั้น
อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5028/2545
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า"มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่าเงินค่าภาษีและเงินประกันสังคมที่จำเลยจ่ายในคดีนี้เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.
2541หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า"ค่าจ้าง
หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวันรายสัปดาห์
รายเดือน
หรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้"เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าภาษีเงินได้ที่จำเลยนำส่งกรมสรรพากรและเงินประกันสังคมที่จำเลยนำส่งสำนักงานประกันสังคมจำเลยออกให้ลูกจ้างของจำเลยทุกคนรวมทั้งโจทก์ด้วยซึ่งภาษีเงินได้และเงินสมทบกองทุนประกันสังคมนั้นโจทก์ในฐานะผู้มีเงินได้และลูกจ้างผู้ประกันตนมีหน้าที่จักต้องชำระโดยจำเลยจะหักเงินจำนวนดังกล่าวไว้จากค่าจ้างและนำส่งให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อจำเลยมิได้หักเงินจำนวนดังกล่าวจากค่าจ้างของโจทก์แต่ออกเงินนั้นแทนโจทก์และส่งไปส่วนราชการดังกล่าวภาษีเงินได้และเงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่จำเลยออกให้แก่โจทก์จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ส่วนราชการเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นการจ่ายแทนโจทก์มิได้จ่ายให้แก่โจทก์
เป็นเงินประเภทอื่นมิใช่เงินที่จำเลยและโจทก์ตกลงจ่ายให้แก่กันเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างจึงมิใช่ค่าจ้างตามบทกฎหมายข้างต้นส่วนที่โจทก์อ้างว่าเงินทั้งสองประเภทจะต้องนำไปรวมเป็นเงินได้ของโจทก์และคำนวณหักภาษีณ
ที่จ่าย และจำเลยมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ
ที่จ่ายสำหรับเงินภาษีที่จำเลยตกลงจ่ายให้แก่โจทก์ด้วยนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าเงินทั้งสองประเภทดังกล่าวเป็นค่าจ้างหรือไม่อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8690/2544
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า"มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่
1 ว่า ค่าเช่ารถยนต์หรือค่าชดเชยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1
จ่ายให้โจทก์ทุกเดือนเดือนละ22,000บาท นั้น เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541มาตรา 5 บัญญัติว่า"ค่าจ้าง"
หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์
รายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
จำเลยที่ 1
มีข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะหารถประจำตำแหน่งให้โจทก์แต่ถ้าหากยังหารถไม่ได้ก็จะให้ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ
22,000 บาทข้อตกลงของโจทก์และจำเลยที่ 1
ดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่ามีการกำหนดให้จำเลยที่1
หารถประจำตำแหน่งให้โจทก์เป็นหลักมีข้อยกเว้นว่าหากยังหารถให้ไม่ได้ก็ให้จ่ายค่าเช่ารถยนต์ให้โจทก์เดือนละ
22,000บาท ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1
จะยังหารถประจำตำแหน่งให้โจทก์ไม่ได้จึงต้องจ่ายค่าเช่ารถยนต์ให้โจทก์เดือนละ22,000
บาท ไปแล้วกี่เดือนก็ตาม หากต่อมาจำเลยที่ 1
สามารถหารถประจำตำแหน่งให้โจทก์ได้ตามข้อตกลงเมื่อใด จำเลยที่ 1
ก็ไม่จำต้องจ่ายค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์อีกต่อไป ดังนั้น
ค่าเช่ารถยนต์ที่จำเลยที่1 จ่ายให้โจทก์เดือนละ22,000
บาทตามข้อตกลงในระหว่างที่ยังจัดหารถประจำตำแหน่งให้โจทก์ไม่ได้ถือว่าเป็นสวัสดิการมิใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานแม้จะจ่ายเงินจำนวนแน่นอนเท่าๆ
กันทุกเดือน ก็มิใช่ค่าจ้าง การที่ศาลแรงงานกลางนำเอาค่าเช่ารถยนต์เดือนละ
22,000บาท ไปคิดรวมเป็นค่าจ้างของโจทก์เป็นเงินเดือนละ97,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง
ที่ถูกเป็นค่าจ้างเพียงเดือนละ 75,000 บาท
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 1จำนวน 1 เดือน
จึงเป็นเงินเพียง75,000 บาท และค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน
เป็นเงิน 225,000บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 300,000 บาทเท่ากับจำนวนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยที่โจทก์ได้รับไปจากจำเลยที่1
แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในเงินดังกล่าวได้อีก
อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นและเนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4
ร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวซึ่งมีมูลหนี้อันมิอาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่
2 ถึงที่ 4ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
245(1)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522
มาตรา 31"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5445 - 5565/2544
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดประการแรกว่าเงินโบนัสที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ทุกคนเป็นค่าจ้างหรือไม่
เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา5 ให้คำจำกัดความว่า “ค่าจ้าง”
หมายความว่าเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือนหรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานส่วนเงินโบนัสจำเลยจ่ายให้โดยพิจารณาว่าโจทก์ทุกคนยังเป็นลูกจ้างอยู่จนถึงวันสิ้นงวดบัญชีและผลการปฏิบัติงานที่ผู้บังคับบัญชาประเมินเท่านั้นถึงแม้จำเลยจะกำหนดอัตราการจ่ายโบนัสไว้ชัดเจนโดยคำนวณจากฐานเงินเดือนของโจทก์แต่ละคนเป็นจำนวนแน่นอนก็ตามแต่ก็มิใช่เงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติของวันทำงานทั้งข้อตกลงระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพที่ทำขึ้น
(ในคดีหมายเลขดำที่ 11671- 16703/2542 ของศาลแรงงานกลาง) ข้อ 4 วรรคสองระบุว่า
เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติภาระหน้าที่ของพนักงานจำเลยตกลงให้โบนัสพิเศษแก่พนักงาน
ดังนี้จะเห็นได้ว่าเงินโบนัสที่จำเลยจ่ายเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานทำงานให้มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน
จึงไม่ใช่ค่าจ้างอุทธรณ์โจทก์ทั้งหมดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2544
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒ให้ความหมายของคำว่า
"ค่าจ้าง"
หมายถึง"เงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน"อาหารวันละ
๓
มื้อที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ไปทำงานปกติรับประทานแสดงให้เห็นว่าลูกจ้างซึ่งมิได้ไปทำงานหรือเป็นวันหยุดไม่ได้รับประทานอาหารทั้ง๓
มื้อ เช่นนี้กรณีเห็นได้ว่าอาหารวันละ ๓
มื้อที่จำเลยจัดให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างนั้นมีวัตถุประสงค์เป็นการช่วยการครองชีพของลูกจ้างซึ่งมาทำงานในแต่ละวันให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลงอันมีลักษณะเป็นการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างอย่างหนึ่งเท่านั้นมิใช่ค่าจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าวต่อมาพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๓ ได้บัญญัติให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖
มีนาคม ๒๕๑๕ ดังนั้นประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖
เมษายน ๒๕๑๕ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามข้อ ๒ และข้อ๑๔
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕จึงถูกยกเลิกไปด้วย
ภายหลังที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.
๒๕๔๑มีผลใช้บังคับแล้วความหมายของคำว่า "ค่าจ้าง" ต้องใช้ตามมาตรา
๕เท่านั้น ซึ่งตามมาตรา ๕ คำว่า "ค่าจ้าง" หมายความว่า"เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือน ?" ดังนั้นอาหารวันละ
๓ มื้อ คิดเป็นเงินมื้อละ ๔๐ บาท รวมเป็นเงินวันละ ๑๒๐
บาทที่จำเลยจัดให้แก่โจทก์จึงมิใช่เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานจึงไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างเช่นกัน
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าอาหารวันละ ๓
มื้อที่จำเลยให้แก่โจทก์มิใช่ค่าจ้างนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1694/2544
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า"ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า
เงินค่าตรวจรักษาคนไข้ที่จำเลยร่วมได้รับจากโจทก์เป็นค่าจ้างซึ่งต้องนำไปเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยให้แก่จำเลยร่วมหรือไม่และคำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 5 บัญญัติว่า
"ค่าจ้าง"หมายความว่า
เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงรายวัน
รายสัปดาห์
รายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุด
และวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้"ค่าจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีสาระสำคัญ3
ประการคือ ประการแรกค่าจ้างต้องเป็นเงินที่นายจ้างกับลูกจ้างตกลงจ่ายกันตามสัญญาจ้าง
ประการที่สองเงินที่จ่ายดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานหรือผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลาทำงานปกติของวันทำงานประการที่สามเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.
2541คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตรวจรักษาคนไข้ที่แพทย์ของโรงพยาบาลโจทก์รวมทั้งจำเลยร่วมได้รับเป็นเงินจากการที่แพทย์แต่ละคนใช้ดุลพินิจกำหนดขึ้นในการตรวจรักษาคนไข้แต่ละรายได้แก่
ค่าตรวจวินิจฉัยโรค ค่าผ่าตัดและค่าเยี่ยมไข้ เป็นต้นทั้งนี้โจทก์ได้กำหนดอัตราค่าตรวจรักษาคนไข้ไว้เพื่อให้แพทย์ถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันเมื่อแพทย์กำหนดค่าตรวจรักษาคนไข้ไว้แล้วเจ้าหน้าที่การเงินของโจทก์จะเป็นผู้เก็บเงินค่าตรวจรักษาคนไข้พร้อมกับค่ายาค่าเวชภัณฑ์และอื่น
ๆ จากคนไข้ในคราวเดียวกันโดยออกใบเสร็จรับเงินในนามของโจทก์ให้แก่คนไข้
แล้วโจทก์จ่ายเงินค่าตรวจรักษาคนไข้ดังกล่าวให้แก่แพทย์ในภายหลังทุกวันที่ 10
และวันที่
25ของแต่ละเดือนโดยโจทก์หักเงินไว้ส่วนหนึ่งคิดเป็นร้อยละจากจำนวนเงินค่าตรวจรักษาคนไข้ตามที่ตกลงกันเห็นว่าแม้เงินค่าตรวจรักษาคนไข้จะเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยร่วมตามข้อตกลงในสัญญาจ้างตามหลักเกณฑ์ประการแรกแต่เงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงินที่คนไข้จ่ายให้แก่แพทย์ที่ตรวจรักษาคนไข้โดยให้โจทก์รับไว้แทนแล้วจ่ายคืนให้แก่แพทย์ที่ตรวจรักษาคนไข้ในภายหลังโดยหักเงินไว้ส่วนหนึ่งจึงมิใช่เงินของนายจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานหรือผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลาทำงานปกติของวันทำงานตามหลักเกณฑ์ประการที่สองและมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541ตามหลักเกณฑ์ประการที่สาม จึงมิใช่ค่าจ้าง
ไม่ต้องนำไปเป็นฐานเพื่อคำนวณค่าชดเชยให้แก่จำเลยร่วมที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง
คำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนและพิพากษายกฟ้องนั้น
ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น"