กำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๗๔ วรรคหนึ่ง (๒๗๑ (เดิม) จะต้องเริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด ไม่ใช่นับแต่คดีถึงที่สุดตามมาตรา ๑๔๗ วรรคสอง (ฎีกาที่ ๑๐๗๓๑/๒๕๕๘, ๔๖๗๓/๒๕๖๐) โดยไม่มีข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคั
กำหนดระยะเวลา
๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๗๔ วรรคหนึ่ง (๒๗๑ (เดิม)
จะต้องเริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด ไม่ใช่นับแต่คดีถึงที่สุดตามมาตรา
๑๔๗ วรรคสอง (ฎีกาที่ ๑๐๗๓๑/๒๕๕๘, ๔๖๗๓/๒๕๖๐) โดยไม่มีข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคับแก่เจ้าหนี้จำนอง
ดังนั้น การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้จำนองต้องกระทำภายในระยะเวลาสิบปีตามบทบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน
หากพ้นระยะเวลาสิบปีแล้วเจ้าหนี้จำนองไม่มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินจำนองของจำเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สิทธิจำนองยังคงอยู่และสามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์สินจำนองต่อไปได้
(ฎีกาที่ ๔๖๑๓/๒๕๕๙(ประชุมใหญ๋) ๕๖๔๕/๒๕๖๐, ๑๖๙๒/๒๕๖๐) ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๑๐๘/๒๕๖๑ ให้คำตอบแล้วว่า เมื่อมีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง เจ้าหนี้จำนองมีสิทธิร้องขอกันส่วนตามมาตรา
๓๒๒ (๒๘๗ (เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๐๗๓๑/๒๕๕๘ (ประชุมใหญ่)
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดเมื่อวันที่
๓ เมษายน ๒๕๔๓ ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
วันสุดท้ายที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนในการขอให้บังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา
คือวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๓ ปรากฏว่า
ผู้เข้าสวมสิทธิเพิ่งยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่
๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ ล่วงพ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ซึ่งไม่อาจร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้แล้ว จึงหามีเหตุให้ศาลชั้นต้นต้องออกคำบังคับแก่จำเลยทั้งสองไม่เพราะระยะเวลาสิบปีในการร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจะต้องเริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด
มิใช่จะต้องเริ่มนับแต่คดีถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๔๖๗๓/๒๕๖๐
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๗๑ มิได้บัญญัติให้การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งต้องร้องขอภายในสิบปีนั้นจะต้องนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด
และใช้ถ้อยคำเพียงว่า "นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง"
ซึ่งมีความหมายว่า วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ขอให้บังคับคดี กล่าวคือ วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นที่สุดในคดีนั้น
เมื่อปรากฏว่าคดีนี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุดในคดีนี้ ก็คือวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่โจทก์ขอให้บังคับคดีนั้นเอง
มิใช่ต้องนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดดังที่โจทก์ฎีกาไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่
๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพิ่มเติมเมื่อวันที่
๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ จึงล่วงพ้นสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
๒๗๑ แล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีเพิ่มเติมแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๔๖๑๓/๒๕๕๙
ตาม
ป.วิ.พ. ภาค ๔ ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง มาตรา ๒๗๑
บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปี
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ซึ่งหมายถึงตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุดในคดีนั้น
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๓
ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ดังนี้
การร้องขอให้บังคับคดีโดยการยึดทรัพย์สินจำนองจึงต้องกระทำภายในสิบปี
แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำขอลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๖
ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินจำนองของจำเลย
ล่วงพ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๓ แล้ว
โจทก์จึงสิ้นสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินจำนองของจำเลย
อย่างไรก็ตามทรัพยสิทธิจำนองยังคงอยู่
และโจทก์สามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือต่อบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์สินจำนองต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๖๙๒/๒๕๖๐
สิทธิจำนองเป็นทรัพย์สิทธิจะระงับสิ้นไปเมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๗๔๔(๑) ถึง ๖ ผู้รับจำนองย่อมมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองแม้หนี้ที่ประกันหรือสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความเพียงแต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้
ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๒๗ และมาตรา ๗๔๔ บัญญัติไว้แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
ซึ่งกำหนดสิทธิและหน้าที่ของคู่กรณีที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน หากเจ้าหนี้ถูกโต้แย้งสิทธิและฟ้องลูกหนี้เป็นคดีต่อศาลเพื่อบังคับจำนอง
กระบวนพิจารณาต้องบังคับตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ
และเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๔ ลักษณะ ๒
การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาตรา ๒๗๑
บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
โดยไม่มีข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคับแก่เจ้าหนี้จำนอง ดังนั้น การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของเจ้าหนี้จำนองต้องกระทำภายในระยะเวลาสิบปีตามบทบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน
ซึ่งจะเป็นการบังคับคดีที่ต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมายวิธีพิจารณาความ
คดีนี้จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่งวดแรกวันที่
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖ และมีข้อตกลงว่าหากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์สินจำนองขายทอดตลาด
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๖ อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามคำพิพากษาได้
แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินจำนองของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่
๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ จึงพ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๖
แล้วโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินจำนองของจำเลยทั้งสอง อย่างไรก็ตาม
ทรัพย์สิทธิจำนองยังคงอยู่และโจทก์สามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์สินจำนองต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๖๔๕/๒๕๖๐
สิทธิจำนองเป็นทรัพย์สิทธิจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีกรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๗๔๔(๑) ถึง (๖) ดังนี้ ผู้รับจำนองซึ่งทรงทรัพย์สิทธิจำนองย่อมมีสิทธิบังคับจำนอง
แม้หนี้ที่ประกันหรือสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความ เพียงแต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้
ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๒๗ และมาตรา ๗๔๔ บัญญัติไว้ แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
ซึ่งกำหนดสิทธิและหน้าที่แก่คู่กรณีที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
โดยหากเจ้าหนี้ประสงค์บังคับตามสิทธิก็ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาลเพราะเหตุถูกลูกหนี้โต้แย้งสิทธิ
ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ อันเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ
กฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติไว้
และเมื่อคดีเข้าสู่ศาลกระบวนพิจารณาก็ต้องบังคับตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ดังนั้น เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๔ ลักษณะ ๒
การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง มาตรา ๒๗๑ (เดิม)
บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปี
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งหมายถึงตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่สุดในคดีนั้น
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๐
ไม่ปรากฏว่ามีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ดังนี้ การร้องขอให้บังคับคดีโดยการยึดทรัพย์จำนองจึงต้องกระทำในระยะเวลาสิบปีดังกล่าว
ซึ่งจะเป็นการบังคับคดีที่ต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำขอฉบับลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘
ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๑
ล่วงพ้นระยะเวลาสิบปี นับแต่วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๐ แล้ว
โจทก์จึงสิ้นสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ ๑
อย่างไรก็ตามทรัพย์สิทธิจำนองยังคงอยู่ และโจทก์สามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือต่อบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์จำนองต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๑๐๘/๒๕๖๑
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ แต่เกิน
๑๐ ปี นับแต่มีคำพิพากษา ศาลอนุญาตให้เข้าสวมสิทธิในคดีเดิม และมีคำสั่งด้วยว่า
ผู้ร้องจะทำการบังคับคดีได้หรือไม่เป็นอีกกรณีต่างหาก โจทก์ในคดีนี้ทำการยึดที่ดินซึ่งจำนองไว้แก่โจทก์ในคดีเดิมที่ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิ
เจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถขายทอดตลาดได้เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ผู้ร้องยื่นคำร้องในคดีนี้ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษา
ดังนี้ แม้โจทก์ในคดีเดิมซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยภายในกำหนด
๑๐ ปี นับแต่มีคำพิพากษา ผู้ร้องเป็นผู้สวมสิทธิไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้
แต่การร้องขอคดีนี้ ผู้ร้องขอกันส่วนมิได้เป็นผู้ยึดทรัพย์บังคับคดีเอง
ย่อมไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ (เดิม)
(ปัจจุบัน ๒๗๔)
แต่ผู้ร้องขอใช้สิทธิกันส่วนในคดีนี้ในฐานะผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดิน
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่จำนองเพราะว่าหนี้จำนองยังไม่ระงับสิ้นไป
ตาม ป.พ.พ.๗๔๔ แต่บังคับได้เฉพาะต้นเงินจำนองและดอกเบี้ยไม่เกิน ๕ ปี ตาม
ป.พ.พ.มาตรา ๑๙๓/๒๗ ศาลฎีกาอนุญาตให้กันเงินส่วนที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแก่ผู้ร้อง