เดิม ซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.โดยส่งมอบการครอบครองให้แล้ว สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ผู้ขายฟ้องขับไล่ผู้ซื้อออกจากที่ดินได้ (ฎีกา 2293/2552 และ 3424/2557) ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ผู้ขายที่ดิน ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
11165/2558
จำเลยฎีกาว่า
โจทก์ได้สละการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยการขายให้จำเลยแล้ว
โจทก์จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทในอันที่จะฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่
เห็นว่า โจทก์ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้จำเลยครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมา
ต่อมาโจทก์ทำบันทึกจะคืนเงินให้จำเลยและจำเลยส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์
แต่โจทก์ไม่คืนเงินให้จำเลย การที่โจทก์กลับมาอ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินและฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลย
จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
3424/2557
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า
สัญญาซื้อขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เลขที่ 1701 แปลงเลขที่ 14 อำเภอโนนดินแดง
จังหวัดบุรีรัมย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ
และให้จำเลยส่งมอบการครอบครองคืนแก่โจทก์ให้โจทก์และจำเลยกลับสู่ฐานะเดิม
และให้จำเลยและบริวารอกจากที่ดินพิพาทห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีก
ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา
โจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงตามคำให้การ
จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน
(ส.ป.ก. 4 - 01) เลขที่1701 แปลงเลขที่ 14 อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์
และปรับสภาพที่ดินให้คืนสภาพเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีก
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน โจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ต่อมาปี 2548 โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยในราคา 212,500 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำวินิจฉัยว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย
เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39
ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่
โดยจำเลยฎีกาว่าภายหลังจากขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์เป็นฝ่ายละทิ้งการครอบครองทำให้การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์สิ้นไป
เห็นว่า ในเขตปฏิรูปที่ดิน
บุคคลที่ไม่ได้รับจัดสรรจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ไม่มีสิทธิแย่งการครอบครองจากผู้ที่ได้รับการจัดสรร
เพราะหากผู้ได้รับการจัดสรรละทิ้ง การครอบครองไป การครอบครองก็จะตกกลับมาเป็นของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอีกครั้ง
ซึ่งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดสรรให้เกษตรกรที่เหมาะสมต่อไป
เมื่อไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้พิจารณาและอนุมัติให้จำเลยหรือบุคคลอื่นได้รับสิทธิในที่ดินพิพาท
โจทก์ซึ่งยังมีชื่อเป็นผู้ได้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า
และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้ ศาลอุทธรณ์
ภาค
3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(อดิศักดิ์
ปัตรวลี - ทวีศักดิ์
ทองภักดี - เฉลิมศักดิ์
ภัทรสุมันต์)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2293/2552
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินแปลงที่ 28
และแปลงที่ 31 ตำบลหนองตะไก้ อำเภอหนองบุนนาก
จังหวัดนครราชสีมาและให้ปรับที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยทุนทรัพย์ของจำเลยและห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีก
กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่วันบุกรุก (ปลายเดือนธันวาคม 2542)
ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 60,000 บาท และถัดจากวันฟ้องปีละ 60,000 บาท
จากว่าจะออกไปพ้นจากที่ดินของโจทก์และค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว
นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินแปลงที่ 28
และแปลงที่ 31 ตำบลหนองตะไก้ อำเภอหนองบุนนาก
จังหวัดนครราชสีมาและปรับสภาพที่ดินให้คืนสภาพเดิม ทั้งห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีก
กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ5,000 บาท
คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับกันว่า
ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อมาจำเลยได้เข้าไปไถหน้าดินปลูกมันสำปะหลังจนเต็มพื้นที่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกว่า จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาซื้อขาย
ซึ่งจำเลยได้ซื้อมาจากโจทก์หรือไม่ เห็นว่า
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 บัญญัติว่า
ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้
เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยัง สถาบันเกษตรกร ฯลฯ
ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้จะมีการซื้อขายที่พิพาท (ส.ป.ก.)
ระหว่างโจทก์กับจำเลยกันจริง นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยก็เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
150
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง
ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 ดังนั้น
ปัญหาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า
ที่ดินพิพาทมีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยแย่งการครอบครองมาเกินกว่า 1 ปี แล้ว
โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองปัญหานี้จำเลยได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การและในชั้นอุทธรณ์
แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยประเด็นนี้ แต่เป็นข้อที่ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่าง
จำเลยย่อมฎีกาได้สำหรับปัญหานี้เห็นว่า ในเขตปฏิรูปที่ดิน
บุคคลที่มิได้รับจัดสรรจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ไม่มีสิทธิแย่งการครอบครองจากผู้ที่ได้รับการจัดสรร
เพราะหากผู้ใดรับการจัดสรรละทิ้งการครอบครองไป
การครอบครองจะตกมาเป็นของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอีกครั้ง
ซึ่งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดสรรให้เกษตรกรที่เหมาะสมต่อไปและพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. 2518 มาตรา 37
บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเรื่องที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้น
ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล"
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(ม.ล. ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ -
ฐานันท์ วรรณโกวิท -
อัปษร หิรัญบูรณะ)