(นำเข้าซ้อน) ผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2817/2543
บริษัท วอห์ล
คลิปเปอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับพวก โจทก์
บริษัท
พี.ซี.แอล. จำกัด จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา
421,
797
ป.อ. มาตรา
273,
274, 275
พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า
พ.ศ.2474 มาตรา 4, 44, 108, 109, 110(1)
โจทก์ที่ 1
ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนโดยใช้เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนในประเทศ
สหรัฐอเมริกาและประเทศไทย คำว่า "WAHL" โจทก์ที่ 1
ย่อมเป็นผู้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับ
สินค้าปัตตะเลี่ยน ทำให้โจทก์ที่ 1
มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ไปใช้โดยมิชอบ
วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าก็เพื่อแยกความแตกต่าง
ระหว่างสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของผู้อื่นและเพื่อ
ระบุว่าสินค้านั้นเป็นของเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
ซึ่งเป็นประโยชน์ในการจำหน่ายสินค้าของตนการที่มีผู้ซื้อสินค้าของเจ้าของ
เครื่องหมายการค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในการประกอบการค้า
เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนใน ครั้งแรก
ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่าย
ไปเสร็จสิ้นแล้ว
จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้น
ออกจำหน่ายอีกต่อไป โจทก์ที่ 1
ไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมาย
การค้าที่แท้จริงที่จำเลยซื้อจากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1
ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาจำหน่ายในประเทศไทยได้
แม้กล่องบรรจุสินค้าปัตตะเลี่ยนซึ่งมีเครื่องหมายการค้าคำว่า
"WAHL"
จะมีซองกระดาษที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันห่อหุ้มกล่องและมีใบรับประกัน
ที่มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันระบุชื่อที่อยู่ของจำเลยว่าเป็นศูนย์บริการ
ก็เป็นเครื่องหมายการค้าที่แสดงว่าสินค้าปัตตะเลี่ยนในกล่องหรือหีบห่อนั้น
เป็นสินค้าของโจทก์ที่ 1
จำเลยเพียงแต่เป็นผู้ให้บริการรับซ่อมปัตตะเลี่ยนให้เท่านั้น มิใช่แสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์
ที่ 1 การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL"ของโจทก์ที่ 1
โจทก์ที่ 2
เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า"WAHL"
ของโจทก์ที่ 1 จากประเทศสหรัฐอเมริกามาจำหน่ายในประเทศไทยโจทก์ที่ 1
ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2
เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1
ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โจทก์ที่ 2
จึงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าว จากโจทก์ที่
1 มาจำหน่ายในประเทศไทยผู้หนึ่งเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่า
การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL"
เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่โจทก์ที่ 2 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
421
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่า
เสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 เดือนละ
1,000,000 บาท
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะหยุดจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มี
เครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" รวมทั้งห้ามสั่งหรือนำเข้ามาจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายซึ่งปัตตะเลี่ยนที่มี
เครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" หรือใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่
1 ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ต่อไป และห้ามพิมพ์ข้อความใด ๆ บนเอกสารโดยมีชื่อยี่ห้อ
"WAHL" กับให้จำเลยรวบรวมเก็บสินค้าปัตตะเลี่ยนที่ละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง
ซึ่งวางจำหน่ายในท้องตลาดและอยู่ในความครอบครองของจำเลยส่งมอบต่อเจ้า
พนักงานบังคับคดีเพื่อจัดการทำลายเสีย
จำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสอง
อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาล
ฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า"ข้อเท็จ จริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า
โจทก์ที่ 1
จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยน
โดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" ซึ่งโจทก์ที่ 1
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว และเมื่อปี 2527
โจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL" สำหรับใช้กับสินค้าปัตตะเลี่ยนในประเทศไทย
ทั้งได้ขอต่ออายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อปี 2537 ด้วย
ตามทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ที่ 1
มอบให้โจทก์ที่ 2 เป็นตัวแทนยื่นคำขอแจ้งความจำนงขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าตาม
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกและการนำสินค้าเข้ามาในราช
อาณาจักร พ.ศ. 2530โจทก์ที่ 2
เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"จากโจทก์ที่ 1 มาจำหน่ายในประเทศไทยนานประมาณ 12 ปี แล้ว
โดยจะบรรจุในวัสดุห่อหุ้ม 2 แบบ
คือแบบบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกใสพร้อมหวีและบรรจุอยู่ในลังโฟมห่อหุ้มด้วย
กล่องกระดาษ เมื่อปี 2537
จำเลยได้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
จากบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1
ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ตามใบขนสินค้าขาเข้า
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2539 โจทก์ที่ 2
นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบริษัทโอ.เอ.ไอ. จำกัด
พบสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า" WAHL" ที่บรรจุในวัสดุห่อหุ้ม 2 แบบเช่นเดียวกับที่โจทก์ที่ 2 นำเข้ามาจำหน่าย
แต่ได้เพิ่มซองกระดาษห่อหุ้มกล่องกระดาษบรรจุสินค้าปัตตะเลี่ยนอีกชั้นหนึ่ง
โดยซองกระดาษนั้นพิมพ์ข้อความโฆษณาเป็นรูปปัตตะเลี่ยนซ้อนอยู่บนธงชาติ
ประเทศสหรัฐอเมริกาและมีภาษาไทยกำกับว่า "ของแท้ต้องมีใบรับประกัน 1
ปี"กับที่มุมล่างด้านขวามีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1
เป็นภาษาอังกฤษคำว่า"WAHL" สีขาวบนพื้นสี่เหลี่ยมสีแดง
และยังมีใบรับประกันสินค้าซึ่งมีชื่อและที่อยู่ของจำเลยระบุว่าเป็นศูนย์
บริการพิมพ์ไว้ โจทก์ที่ 2 ไม่ได้ไปค้นและยึดสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้า
คำว่า " WAHL" ที่สำนักงานของจำเลย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า
การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้า คำว่า " WAHL"
เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่
1 กับละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 และจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด
โดยโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า
การใช้หลักกฎหมายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจำเป็นต้อง
พิจารณาพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าควบคู่กับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เพราะลักษณะของสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นเป็นสิทธิเด็ดขาดที่กฎหมายให้
ความคุ้มครองแก่เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นได้
แต่ผู้เดียว
ดังนั้นการละเมิดสิทธิจะเกิดขึ้นเมื่อผู้อื่นได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น
โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าการใช้นั้นจะได้กระทำโดยจงใจให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าเสียหาย
หรือโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นผลให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าเสียหายหรือไม่
และไม่ว่าจะเกิดผลเสียหายแก่เจ้าของเครื่องหมายการค้าขึ้นจริงหรือไม่
การที่จำเลยซื้อสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า"WAHL"
จากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแข่งกับโจทก์ทั้ง
สอง โดยมีการทำหีบห่อและซองกระดาษที่พิมพ์รูปปัตตะเลี่ยน เครื่องหมายการค้าคำว่า
"WAHL" และข้อความว่า
"ของแท้ต้องมีใบรับประกัน 1
ปี"กับใบรับประกันซึ่งระบุชื่อที่อยู่ของจำเลยเป็นศูนย์บริการโดยไม่ได้รับ
อนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง
ทำให้โจทก์ทั้งสองจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยได้น้อยลงเป็นการละเมิดสิทธิของ
โจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้องร้องบังคับจำเลยให้ระงับการละเมิดสิทธิหรือชด
ใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1
เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ซึ่งโจทก์ที่ 1
ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเมื่อปี 2527
โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับใช้กับสินค้าปัตตะเลี่ยน
ในประเทศไทย แล้วได้ต่ออายุการจดทะเบียนในปี 2537 ตามทะเบียนเครื่องหมายการค้า
โจทก์ที่ 1 ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวย่อมเป็นผู้มี
สิทธิแต่ผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าปัตตะ
เลี่ยนตามที่จดทะเบียนไว้ ส่วนการที่โจทก์ที่ 2 ได้ไปยื่นคำขอแจ้งความจำนงรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าดังที่โจทก์ที่
2 นำสืบก็ทำในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ทำให้โจทก์ที่ 2
มีส่วนเป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้าร่วมกับโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด โจทก์ที่
2 คงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ของโจทก์ที่ 1 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น ดังนั้น
จึงมีปัญหาที่ต้องแยกพิจารณาประการแรกว่า
จำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และประการที่สองว่า
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 อย่างใดหรือไม่
ในปัญหาที่ว่าจำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 หรือไม่นั้น
แม้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 44
จะให้การคุ้มครองสิทธิของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า
" WAHL" ตามที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วก็ตาม
แต่ก็เป็นเพียงการคุ้มครองโดยให้สิทธิแก่โจทก์ที่ 1
เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าปัตตะเลี่ยนตามที่
ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งทำให้โจทก์ที่ 1
มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1
ไปใช้โดยมิชอบเท่านั้น
และเมื่อพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534
มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า "เครื่องหมายการค้าหมายความว่า
เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อแสดงว่า
สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างกับ
สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น" ย่อมเห็นได้ว่า
วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องหมายการค้าตามบทบัญญัติดังกล่าวคือการใช้
เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสินค้าของเจ้าของ
เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของผู้อื่นและเพื่อระบุว่าสินค้านั้นเป็นของ
เจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
ซึ่งเป็นประโยชน์แก่เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นในการจำหน่ายสินค้าของตน
เพราะการใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเช่นนี้ทำให้ประชาชนที่นิยมเชื่อถือ
ในสินค้าและเครื่องหมายการค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นได้อาศัย
เครื่องหมายการค้าดังกล่าวในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าของเจ้าของเครื่อง
หมายการค้านั้นได้ถูกต้องตามความประสงค์ของตน
และการที่มีผู้ซื้อสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป
ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในการประกอบการค้า ดังนี้
เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนใน
ครั้งแรกซึ่งเป็นการใช้สิทธิแต่ผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับ
สินค้าของตนเพื่อประโยชน์ในการจำหน่ายสินค้าโดยได้รับประโยชน์จากการใช้
เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว
จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าตามปกตินำสินค้า
นั้นออกจำหน่ายอีกต่อไป คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า
สินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL" ที่จำเลยนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อปี 2537
ตามใบขนสินค้าขาเข้าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1
โดยจำเลยซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าให้จำเลยที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ซึ่ง
เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 เช่นกัน
กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยซื้อสินค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1
เข้ามาจำหน่ายโดยมิได้กระทำการใด ๆ โดยมิชอบไม่ว่าจะเป็นการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าคำว่า
"WAHL" ของโจทก์ที่ 1 หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร
จำหน่าย
เสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือ
ที่เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1ดังกล่าว
อันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534มาตรา 108, 109 และมาตรา 110(1) หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 273, 274และมาตรา 275 แต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยซื้อสินค้าของโจทก์ที่ 1
จากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1
ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น
ก็เกิดจากการที่โจทก์ที่ 1 ได้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าของตนโดยใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเพื่อ
จำหน่ายโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนในการขายสินค้านั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว
นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" ที่ติดอยู่ที่สินค้าของโจทก์ที่
1 นั้นก็ยังคงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของสินค้า
ของโจทก์ที่ 1 ตามที่โจทก์ที่ 1
ได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นเพื่อจำแนกสินค้าของตนอยู่เช่นเดิม ดังนั้น โจทก์ที่ 1
จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่แท้จริงที่มี
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ซึ่งมิใช่เครื่องหมายการค้าปลอมหรือที่เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่
1 มาจำหน่ายในประเทศไทยได้การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้
เครื่องหมายการค้าอันเป็นการละเมิดสิทธิแต่ผู้เดียวของโจทก์ที่ 1
ในการใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" สำหรับสินค้าปัตตะเลี่ยนตามที่ได้จดทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมาย
การค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 44 ดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ส่วนกรณีที่กล่องบรรจุสินค้าปัตตะเลี่ยนซึ่งมีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยนำเข้ามาจำหน่ายด้วย
ซึ่งมีซองกระดาษพิมพ์รูปปัตตะเลี่ยนซ้อนอยู่บนธงชาติประเทศสหรัฐอเมริกา
มีข้อความรับประกันกับมีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL" ห่อหุ้มกล่องและมีใบรับประกันระบุชื่อที่อยู่ของจำเลยว่าเป็นศูนย์บริการ
เพิ่มขึ้นมาอีกนั้น ก็เป็นสินค้าที่ยึดได้จากบริษัทโอ.เอ.ไอ. จำกัด
แม้ใบรับประกันจะมีเครื่องหมายการค้าคำว่า" WAHL" อยู่ก็เป็นเครื่องหมายการค้าที่ยังแสดงว่าสินค้าปัตตะเลี่ยนในกล่องหรือหีบ
ห่อนั้นเป็นสินค้าของโจทก์ที่ 1 เช่นกัน
จำเลยเพียงแต่เป็นผู้ให้บริการรับซ่อมปัตตะเลี่ยนให้เท่านั้น
มิใช่เป็นการแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าของ
โจทก์ที่ 1 ดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนการที่โจทก์ที่ 1
ได้รับการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL" ตามที่ได้ยื่นคำขอแจ้งความจำนงขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าไว้เมื่อ
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2539 นั้น ก็ปรากฏว่าในข้อ 5
ของเอกสารดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า เป็นการคุ้มครองที่มิให้ผู้ใดนำสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า
" WAHL" ปลอมหรือเลียนแบบเข้ามาในหรือส่งออกจากประเทศไทยเท่านั้น
มิได้ห้าผู้ใดนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด
การกระทำของจำเลยดังวินิจฉัยมาข้างต้น จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า
"WAHL" ของโจทก์ที่ 1
ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 หรือไม่นั้น เห็นว่า
แม้ตามทางนำสืบของโจทก์ที่ 2 จะได้ความว่า โจทก์ที่ 2
เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งสั่งโดยตรงจากโจทก์ที่ 1
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นเวลาประมาณถึง 12 ปี
แล้วก็ตามแต่โจทก์ที่ 2 ก็มิได้มีเอกสารใด ๆ มานำสืบยืนยันว่าโจทก์ที่ 1
ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า
" WAHL"แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ในทางตรงกันข้าม
นางสาวอารียา พรประเสริฐกุลผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่ 2
กลับเบิกความตอบทนายจำเลยรับว่า ก่อนวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 โจทก์ที่ 1
ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2
เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ของโจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวเมื่อปรากฏว่าก่อนวันที่
19 กรกฎาคม 2539 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตกลงตั้งโจทก์ที่
2ให้เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
ของโจทก์ที่ 1 เพียงผู้เดียวในประเทศไทยแล้ว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า
"WAHL" จากโจทก์ที่ 1
มาจำหน่ายในประเทศไทยผู้หนึ่งเท่านั้นและจากหลักฐานการนำเข้าซึ่งสินค้า
ปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL" ตามใบขนสินค้าขาเข้าปรากฏว่า
จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
จากตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ที่ 1
ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 28มกราคม 2537
ซึ่งนางสาวพจนีย์ สมณะ กรรมการจำเลยที่เป็นทั้งพยานโจทก์ที่ 2
และพยานจำเลยก็เบิกความว่า เมื่อสั่งสินค้ามาแล้ว จำเลยไม่ได้สั่งสินค้าเข้ามาอีกเลย
ดังนั้น จึงฟังไม่ได้ว่า
การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า " WAHL"
เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยดังกล่าว
เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2
อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้
ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองแล้วพิพากษา
ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( พินิจ
เพชรรุ่ง - สมคิด ไตรโสรัส - สุรชาติ บุญศิริพันธ์ )
หมายเหตุ
(1)
ผู้ผลิตสินค้า (manufacturer) ที่ต้องการจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตนในต่างประเทศ
มักจะจำหน่ายสินค้าโดยผ่านระบบตัวแทนจำหน่าย (distributorship)ซึ่งตัวแทนจำหน่าย (distributor) มักจะเป็นบุคคลที่มีความคุ้นเคยกับตลาดในประเทศตัวแทนจำหน่ายจะสร้าง
กู๊ดวิลล์และชื่อเสียงของสินค้าด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์และจะสั่งซื้อ
สินค้าจากผู้ผลิตเพื่อนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศในราคาที่ทำกำไรให้แก่ตน
การที่ตลาดของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
จึงทำให้สินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ
มีราคาที่แตกต่างกันไปด้วย และด้วยความแตกต่างของราคาสินค้าเช่นนี้
จึงทำให้บุคคลที่มองเห็นลู่ทางทำกำไร
ซื้อสินค้าจากประเทศที่มีราคาถูกไปจำหน่ายในประเทศที่มีราคาแพง เพื่อหากำไรจากส่วนต่างของราคา
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายแข่งกับตัวแทนจำหน่ายในลักษณะนี้เรียกว่า
"การนำเข้าซ้อน"(parallelimport) โดยผู้นำเข้าซ้อนสามารถที่จะเสนอขายสินค้าชนิดเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่า
สินค้าที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่าย เนื่องจากผู้นำเข้าซ้อนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อสร้างกู๊ดวิลล์
ให้กับสินค้า
(2)
การนำเข้าซ้อนเป็นธุรกรรมที่แพร่หลายมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มผลประโยชน์ต่าง
ๆ มีความเห็นเกี่ยวกับธุรกรรมนี้ในมุมมองที่แตกต่างกัน
สำหรับตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศที่มีการนำเข้าซ้อน ธุรกรรมลักษณะนี้ได้ทำให้ตัวแทนจำหน่ายสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล
แต่สำหรับผู้บริโภค
การนำเข้าซ้อนจะก่อให้เกิดการแข่งขัน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย
การนำเข้าซ้อนจะกดดันให้ตัวแทนจำหน่ายลดราคาสินค้าของตนลง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน
(3)
การที่การนำเข้าซ้อนมีผลกระทบต่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตัวแทนจำหน่าย
ตัวแทนจำหน่ายจึงต้องการหาวิธีการที่จะยับยั้งการนำเข้าซ้อน
วิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ก็คือ การบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
โดยอ้างว่าการนำเข้าซ้อนเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิในการนำเข้าของตน
ปัญหาคือ
ตัวแทนจำหน่ายจะสามารถบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อห้ามการนำเข้า
ซ้อนได้หรือไม่
ทั้งนี้เพราะสินค้านำเข้าซ้อนนั้นในความเป็นจริงก็คือสินค้าที่ผลิตโดยผู้
ผลิตรายเดียวกันกับสินค้าที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายหรือเป็นสินค้าที่ผลิต
ด้วยการรู้เห็นยินยอมของผู้ผลิตนั่นเอง เช่น
เป็นสินค้าที่ผลิตโดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจากผู้ผลิต (licensee)
เป็นต้น
มีหลักกฎหมายทั่วไปอยู่หลักหนึ่งเรียกว่า
"หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญา"(PrincipleofExhaustionofIntellectualPropertyRights)ซึ่งมีที่มาดั้ง เดิมจากคำพิพากษาของศาลแห่งประเทศสหพันธรัฐเยอรมนี
ที่ตัดสินไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445
สาระสำคัญของหลักการนี้คือเมื่อได้มีการวางจำหน่ายสินค้าภายใต้สิทธิใน
ทรัพย์สินทางปัญญาใดโดยชอบแล้ว (1)
สิทธิทางกฎหมายเหนือสินค้านั้นย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป
ผู้ทรงสิทธิจะบังคับสิทธิของตนเอากับผู้ใช้ประโยชน์จากสินค้านั้นมิได้ เช่น
ผู้ซื้อสินค้าที่วางจำหน่ายโดยผู้ทรงสิทธิ
ย่อมมีสิทธิที่จะแสวงหาประโยชน์จากสินค้านั้น ไม่ว่าจะด้วยการใช้ ขาย
หรือจำหน่ายสินค้านั้นต่อไป
หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ได้ถูกนำมาใช้เพื่อประนีประนอมความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของบุคคลสองกลุ่ม อันได้แก่
ประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในการปกป้องผลงานทางปัญญาของตน
และประโยชน์ของผู้มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าซึ่งได้รับสินค้านั้นมาโดยชอบหลักการ
ระงับสิ้นไปของสิทธิเปิดโอกาสให้ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาแสวงหา
ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากสิทธิของตนได้ในครั้งแรก
และเมื่อผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์ด้วยการจำหน่ายสินค้านั้นแล้ว
สิทธิเหนือสินค้านั้นก็เป็นอันระงับไป
หลักการนี้ตั้งอยู่บนปรัชญาความเชื่อที่ว่าผู้ซื้อสินค้าควรจะสามารถใช้
สิทธิในกรรมสิทธิ์ของตนได้โดยเสรีเช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินทั่วไป
(4)
หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่ยอมรับมากขึ้นใน ปัจจุบัน
แต่ขอบเขตของการใช้หลักการนี้ก็แตกต่างกันไปในประเทศ
ซึ่งอาจจำแนกขอบเขตของการใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ออกได้เป็น 3 ระดับคือ หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิภายในประเทศ (nationalexhaustion)หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับภูมิภาค (regionalexhausion) และหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ (internationalexhaustion)
เป็นที่ทราบกันว่า
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิทางกฎหมายที่อาจใช้บังคับได้ในประเทศที่
มีสิทธิเท่านั้น ดังเป็นไปตามหลักดินแดน (TerritorialityPrinciple)
สิทธิที่มีอยู่ในประเทศไม่อาจใช้บังคับการทำละเมิดที่ได้กระทำนอกราช
อาณาจักร หรือสิทธิที่มีอยู่ในต่างประเทศจะไม่มีผลใช้บังคับในประเทศ เป็นต้น
ประเทศที่ใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิภายในประเทศ
จะยึดถือหลักดินแดนอย่างเคร่งครัด
โดยถือว่าเฉพาะแต่การจำหน่ายสินค้าโดยชอบภายในประเทศเท่านั้น
ที่จะทำให้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเหนือสินค้านั้นระงับสิ้นไป
การที่ประเทศใดใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในระดับภูมิภาคและในระดับ
ระหว่างประเทศแสดงว่าประเทศนั้นถือว่าหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิเป็นข้อยก
เว้นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของหลักดินแดน
การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในลักษณะนี้ย่อมมีผลเท่ากับเป็นการอนุญาต
ให้มีการนำเข้าซ้อน ผู้ทรงสิทธิไม่อาจบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อห้ามการนำสินค้า
เข้ามาจำหน่ายในประเทศได้ หากสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ตนเป็นผู้จำหน่าย
หรือได้ยินยอมให้มีการจำหน่ายสินค้านั้นในต่างประเทศ
(5)
ความตกลงทริปส์ซึ่งเป็นความตกลงในภาคผนวกของความตกลงจัดตั้งองค์การการค้า โลก มิได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สิน
ทางปัญญา หรือที่เกี่ยวกับการนำเข้าซ้อนเอาไว้ ข้อ 6
ของความตกลงทริปส์เพียงแต่บัญญัติหลักการเป็นเชิงประนีประนอมว่า
บทบัญญัติของความตกลงทริปส์จะไม่นำไปใช้บังคับกับปัญหาการระงับสิ้นไปของ สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งแปลความได้ว่า
ความตกลงทริปส์อนุญาตให้ประเทศสมาชิกเลือกใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิได้
ตามที่เห็นสมควร
ด้วยเหตุนี้
การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศต่าง ๆ
จึงมีแนวทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายและนโยบายของแต่ละประเทศ เช่น
สหภาพยุโรปใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับภูมิภาคโดยใช้เขตภูมิศาสตร์
ของประชาคมยุโรปเป็นเกณฑ์
ก็ด้วยมีวัตถุประสงค์ที่จะบรรลุความมุ่งหมายของการจัดตั้งตลาดร่วมทางการค้า
หรือประเทศญี่ปุ่นใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ
เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการค้าเสรีและไม่ต้องการให้มีการใช้
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในลักษณะที่เป็นอุปสรรคทางการค้าเป็นต้น
(6)
มีปัญหาว่า
การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระดับระหว่างประเทศจะ
ขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิ (Independence
ofRights) ตามข้อ 4bis ของอนุสัญญากรุงปารีสหรือไม่
หลักความเป็นอิสระของสิทธิ
หมายความว่า สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ในประเทศต่าง ๆ
ย่อมมีความเป็นอิสระจากกัน
ถึงแม้ว่าสิทธินั้นจะเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือผลงานทางปัญญาอันเดียวกันก็ตาม การที่สิทธิในประเทศหนึ่งได้ถูกยกเลิก
แก้ไขเปลี่ยนแปลง
หรือระงับไปไม่ว่าด้วยเหตุใดจะไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสิทธิที่มีอยู่
ในประเทศอื่น
การที่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาได้ระงับสิ้นไป
เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้านั้นในต่างประเทศ จึงน่าจะขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิ
เพราะดูเหมือนว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศได้ระงับสิ้นไปตามการ
ระงับของสิทธิในต่างประเทศ
แต่ในความเป็นจริง
การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระดับระหว่างประเทศ
หาได้ขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิไม่ เพราะการที่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้านำเข้าซ้อนได้ระงับสิ้นไปนั้น
หาได้เป็นเพราะว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเดียวกันในต่างประเทศได้ระงับ สิ้นไปไม่
หากแต่เป็นเพราะว่าผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์จากการใช้สิทธิในทรัพย์สินทาง
ปัญญาของตนแล้ว ซึ่งการที่ผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์จากสิทธิหรือไม่นั้น
ถือเป็นข้อเท็จจริง (facts)ซึ่งหลักความเป็นอิสระของสิทธิไม่ได้ห้ามมิให้รับฟังข้อเท็จจริงที่
เกิดขึ้นในต่างประเทศ
(7)
กฎหมายสิทธิบัตรของประเทศไทย
ได้รับรองหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ โดยบทบัญญัติมาตรา 36
วรรคสอง (7) ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542
ดังนั้น การนำเข้าซ้อนจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ
ฉบับปัจจุบัน
หาได้มีบทบัญญัติที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิและการนำ
เข้าซ้อนไม่ ซึ่งทำให้เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่า
กฎหมายเครื่องหมายการค้าของไทยจะใช้หลักการนี้ไปในแนวทางใด
โดยคำพิพากษาศาลฎีกาในอดีตได้ตัดสินไปในทำนองไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อน
ในอดีต
ศาลฎีกามีคำพิพากษาไปในแนวทางว่า เมื่อมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยชอบ
ผู้จดทะเบียนย่อมเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า
มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้าของตน
ซึ่งสิทธิเด็ดขาดดังกล่าวรวมถึงสิทธิในการนำเข้าสินค้าด้วย ดังนั้น
การนำเข้าซ้อนสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนจึงเป็นการละเมิดสิทธิ
ของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น (คำพิพากษาศาลฎีกา 657/2499,
คำพิพากษาศาลฎีกา 366/2500, คำพิพากษาศาลฎีกา882/2504,
คำพิพากษาศาลฎีกา 1271-1273/2508, คำพิพากษาศาลฎีกา
1669-1672/2523 และคำพิพากษาศาลฎีกา 4603/2533)
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลฎีกาได้แสดงเหตุผลไว้
อย่างสอดคล้องกัน โดยวินิจฉัยว่า
เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้นำสินค้าของตนออก
จำหน่ายเป็นครั้งแรกแล้ว
ก็ถือว่าเจ้าของเครื่องหมายได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้น
จากสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่อาจใช้สิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้า
ซึ่งประกอบการค้าตามปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่ายต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกานี้จึงเป็นคำพิพากษาที่กลับแนวคำพิพากษาในอดีตโดยรับรองว่า
การนำเข้าซ้อนเครื่องหมายการค้าเป็นธุรกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหากสินค้านำเข้า นั้นเป็นสินค้าที่ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่าย
หรือรู้เห็นยินยอมให้มีการจำหน่ายสินค้านั้น
(8)
คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและคำพิพากษา
ศาลฎีกานี้ ตัดสินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ กฎหมายสิทธิบัตรได้อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อน
ก็โดยมีวัตถุ
ประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณชนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการ
ค้าเสรีแต่วัตถุประสงค์ดังกล่าวย่อมไม่อาจบรรลุได้หากกฎหมายเครื่องหมายการ
ค้าจะไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อนด้วย
ถึงแม้ว่าการคุ้มครองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจะมีความมุ่งหมายที่แตก
ต่างกัน แต่ในทางปฏิบัติ
สิทธิทางกฎหมายสองประเภทนี้ก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น
ทั้งนี้เพราะโดยทั่วไปสินค้าภายใต้สิทธิบัตรมักจะถูกนำออกจำหน่ายโดยมี
เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนติดอยู่ด้วยเสมอ หากกฎหมายทั้งสองลักษณะมีบทบัญญัติในเรื่องการนำเข้าซ้อนที่แตกต่างกัน
หรือใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิอย่างไม่สอดคล้องกันแล้ว
ก็จะทำให้เกิดผลประหลาดมาก
เนื่องจากการนำเข้าซ้อนสินค้าภายใต้สิทธิบัตรจะเป็นสิ่งที่อาจกระทำได้
โดยไม่เป็นการละเมิดต่อกฎหมายสิทธิบัตร แต่การนำเข้าซ้อนสินค้าเดียวกันนั้นกลับเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายเครื่อง
หมายการค้า เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น
(9)
ปัญหาที่ควรพิจารณาต่อไปคือ
การอนุญาตการนำเข้าซ้อนจะไม่สอดคล้องต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายเครื่องหมายการ
ค้าหรือไม่
เจตนารมณ์ของกฎหมายเครื่องหมายการค้านั้นมีอยู่
2 ประการสำคัญ
ประการแรก
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของเครื่องหมายการค้า
ผู้ซึ่งได้ลงทุนและเสียเวลาไปกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์นั้นต่อสาธารณชน
ประการที่สอง
เพื่อปกป้องสาธารณชนและผู้บริโภค โดยทำให้มั่นใจว่า ในการซื้อสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า
ผู้ซื้อจะได้รับสินค้าในราคาและคุณภาพตามที่ตนคาดหมาย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
กฎหมายเครื่องหมายการค้าทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของบุคคลสองกลุ่ม ได้แก่
สิทธิของสาธารณชนในอันที่จะไม่สับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า
และสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในอันที่จะรักษาชื่อเสียงทางการค้าของ ตน
(10)
ตามเจตนารมณ์ประการแรก
การนำเข้าซ้อนอาจก่อความเสียหายแก่ตัวแทนจำหน่ายซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมาย การค้า
ผู้ซึ่งได้ลงทุนในการโฆษณาเพื่อสร้างชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้าใน
ประเทศนำเข้า ซึ่งการสร้างชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้าหาได้เป็นสิ่งที่อาจกระทำได้โดย
ง่ายไม่ ผู้นำเข้าซ้อนมิได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์สิ่งใดเลย
หากเพียงแต่ฉกฉวยเอาชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ที่ตัวแทนจำหน่ายสินค้าได้สร้าง
ขึ้นไปเป็นประโยชน์แก่ตนเท่านั้น
แต่ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ
ชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้านั้นเกิดขึ้นจากสิ่งใดกันแน่
เกิดจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของตัวแทนจำหน่าย
หรือเกิดจากคุณภาพของสินค้าที่ผู้ผลิตสินค้าได้ทำให้เกิดมีขึ้น ในความเป็นจริง
ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าน่าจะมาจากคุณภาพของสินค้าและความเชื่อ
ถือต่อผู้ผลิต มากกว่าที่จะเกิดจากการโฆษณาสินค้า
หากเป็นดังเช่นที่กล่าว
การนำเข้าซ้อนก็หาใช่การกระทำที่เป็นการฉกฉวยกู๊ดวิลล์หรือชื่อเสียงทางการ
ค้าของบุคคลอื่นไม่
เพราะสินค้าที่มีการนำเข้าซ้อนนั้นเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกัน
หรือด้วยความยินยอมของผู้ผลิตรายเดียวกันนั่นเองและด้วยเหตุที่สินค้าได้
ผลิตขึ้นโดยผู้ผลิตรายเดียวกันนี้
จึงทำให้ประโยชน์สุดท้ายของการจำหน่ายสินค้าตกได้แก่ผู้ผลิตสินค้าเสมอ
ไม่ว่าการจำหน่ายสินค้านั้นจะกระทำโดยตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้าซ้อน
(11)
ตามเจตนารมณ์ประการที่สอง มีปัญหาว่าการนำเข้าซ้อนอาจทำให้ประชาชนสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดที่แท้จริง
ของสินค้าหรือไม่
ในปัญหานี้
ต้องจำแนกการนำเข้าซ้อนออกเป็น 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก
เป็นการนำเข้าซ้อนสินค้าที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าเองซึ่งมักจะเกิด
ขึ้นในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าเป็นผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศต่าง ๆ
ด้วยตนเอง หรือตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้า
โดยเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนามของตนเอง ในกรณีนี้
ผู้ผลิตสินค้ากับเจ้าของเครื่องหมายการค้าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน
ลักษณะที่สอง
เป็นกรณีที่สินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ในเชิง
เศรษฐกิจกับเจ้าของเครื่องหมายการค้า
ในกรณีนี้
เจ้าของเครื่องหมายการค้ามิได้เป็นผู้ผลิตสินค้านำเข้าซ้อน
เนื่องจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศนำเข้ามีฐานะเป็นตัวแทนจำหน่าย สินค้าเครื่องหมายการค้าจะถูกจดทะเบียนในประเทศนำเข้าในนามของตัวแทนจำหน่าย
ซึ่งเป็นบุคคล (หรือนิติบุคคล) ที่เป็นอิสระแยกต่างหากจากผู้ผลิตสินค้า
โดยตัวแทนจำหน่ายได้รับโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้ามาจากผู้ผลิตสินค้าอีกที หนึ่ง
(12)
ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่บันทึกนี้ ศาลฎีกาได้แสดงเหตุผลไว้อย่างชัดเจนว่า
การใช้เครื่องหมายการค้ามีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกความแตกต่างของสินค้าของ
เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของผู้อื่น
และทำให้ประชาชนใช้เครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องพิจารณาเลือกซื้อสินค้า
ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของตน
โจทก์ที่ 1
เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนที่จำเลยนำเข้าซ้อนมาจากประเทศสิงคโปร์และเป็น
ผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย ส่วนโจทก์ที่
2ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ามิได้มีฐานะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น
จำเลยได้ซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ซึ่งเป็นตัว
แทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 เช่นเดียวกัน ดังนั้น
คดีนี้จึงเป็นกรณีที่สินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า
อันเป็นการนำเข้าซ้อนในลักษณะแรกนั่นเอง
เมื่อสินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า
(ซึ่งในกรณีนี้คือโจทก์ที่ 1)
เครื่องหมายการค้านั้นย่อมทำหน้าที่บ่งระบุแหล่งกำเนิดของสินค้าได้อย่างถูก
ต้องสินค้านำเข้าซ้อนจึงเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดที่แท้จริงตามที่เครื่อง
หมายการค้านั้นได้แสดงไว้ทุกประการ
ด้วยเหตุนี้
เหตุผลของศาลฎีกาที่ว่า เมื่อเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL"
ที่ใช้ติดอยู่ที่สินค้า
ยังคงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของสินค้าของ โจทก์ที่ 1
ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายเครื่องหมายการค้า โจทก์ที่ 1
จึงไม่มีสิทธิหวงกันห้ามปรามการนำเข้าซ้อนสินค้าดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลที่ชอบแล้ว
(13)
มีผู้ให้ความเห็นในทำนองว่า
หากเป็นการนำเข้าซ้อนในลักษณะที่สองที่ผู้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามิได้
เป็นผู้ผลิตสินค้า
ก็ไม่อาจถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่ติดอยู่ที่สินค้านำเข้าซ้อนได้แสดง
แหล่งกำเนิดที่แท้จริงของสินค้า การนำเข้าซ้อนจึงเป็นการละเมิดสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศนำ
เข้า
ปัญหานี้ไม่อาจวิเคราะห์อย่างผิวเผินแต่เพียงว่า
ผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศที่มีการนำเข้าซ้อนกับผู้
ผลิตสินค้าในต่างประเทศเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่
เพราะการจะดูว่าเครื่องหมายการค้าได้ทำหน้าที่ในการบอกแหล่งกำเนิดของสินค้า
หรือไม่นั้น
มิอาจกระทำได้แต่เพียงการพิจารณาถึงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเท่านั้น
หากแต่จะต้องคำนึงถึงลักษณะของสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าเท่านั้น
รวมทั้งพิจารณาถึงผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของเครื่องหมายการค้านั้นด้วย
ซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ
จะต้องคำนึงถึงความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับสินค้าและเครื่องหมายการค้า
นั้นเป็นสำคัญ โดยดูว่าประชาชนผู้บริโภคเข้าใจว่าใครเป็นผู้ผลิตสินค้า
และบุคคลใดคือเจ้าของที่แท้จริงของเครื่องหมายการค้านั้น
ตัวอย่างเช่น
บริษัท ก. บริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า X
บริษัท ก. มิได้เข้ามาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย
หากแต่โอนสิทธิในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า X ในประเทศไทยให้แก่บริษัทข.
เช่นนี้ ถึงแม้ว่าโดยทางนิตินัย บริษัท ข. จะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นในประเทศไทยก็ตาม
แต่การจะดูว่าผู้บริโภคในประเทศไทยสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือ ไม่
ก็ต้องดูว่าผู้บริโภคเข้าใจว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า X มีแหล่งกำเนิดจากที่ใด และใครเป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว
หากผู้บริโภคในประเทศไทยเข้าใจว่า
สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าคือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัท ก.
ซึ่งเป็นผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่นนี้การนำเข้าซ้อนสินค้าที่บริษัท ก.
ได้จำหน่ายในต่างประเทศย่อมเป็นการกระทำโดยชอบและไม่ถือว่าทำให้ประชาชน
สับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า ถึงแม้ว่าสินค้านำเข้าซ้อนจะมีเครื่องหมายการค้า
X
ติดอยู่ และแม้ว่าสินค้านั้นจะเป็นสินค้าที่ผลิตโดยบริษัท ก.
ซึ่งมิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยก็ตาม
กรณีไม่ควรถือว่าผู้บริโภคได้เกิดความสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า
เพียงเพราะว่าสินค้านั้นมิได้ผลิตโดยบริษัท ข. ซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย
กรณีจะไม่เป็นปัญหามากนัก
หากเครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องหมายร่วมของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (collectivemarks)
เพราะเมื่อเครื่องหมายการค้าที่ใช้เป็นเครื่องหมายร่วมของกลุ่มบริษัท
แล้วสาธารณชนก็จะไม่เข้าใจว่าเครื่องหมายการค้านั้นเป็นของบริษัทใดบริษัท หนึ่ง
หากแต่เป็นสินค้าที่มาจากบริษัทที่เป็นสมาชิกของกลุ่มบริษัทนั้น
การนำเข้าซ้อนสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทในกลุ่มในต่างประเทศจึงไม่ทำ
ให้ประชาชนสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า
(14)
มีข้อควรพิจารณาต่อไปว่า การนำเข้าซ้อนควรได้รับอนุญาตหรือไม่หากปรากฏว่าสินค้านำเข้าซ้อนมีคุณภาพ
แตกต่างไปจากสินค้าที่จำหน่ายในประเทศเพราะอาจจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของ
กฎหมายในการให้ผู้บริโภคทราบถึงแหล่งกำเนิดและคุณภาพของสินค้า
การที่สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศต่าง
ๆ จะมีคุณภาพแตกต่างกันนั้น ถือเป็นเรื่องปกติและพบเห็นได้เสมอ
สินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกันอาจมีคุณภาพแตกต่างกันได้
ทั้งนี้เพราะผู้ประกอบธุรกิจข้ามชาติจำเป็นต้องปรับแต่งคุณภาพสินค้าของตน
ให้สอดคล้องกับสภาพตลาด ความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
แต่การกล่าวว่าเครื่องหมายการค้าทำหน้าที่บ่งบอกคุณภาพของสินค้านั้นดู
เหมือนจะเป็นการตีความหน้าที่ของเครื่องหมายการค้าเกินเลยไปจากหลักการของ กฎหมาย
ทั้งนี้เนื่องจากเครื่องหมายการค้าเพียงแต่ทำหน้าที่บ่งระบุแหล่งกำเนิดของ
สินค้าเท่านั้น ส่วนการที่สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดดังกล่าวจะมีคุณภาพเป็นเช่นไรนั้น
เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องคาดหวังเอาเอง ดังนั้น
จึงเป็นการไม่สมควรที่จะห้ามการนำเข้าซ้อนด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าสินค้าที่
มีการนำเข้าซ้อน มีคุณภาพที่แตกต่างไปจากคุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายอยู่ในประเทศ
หากผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายสินค้า
ไม่ต้องการให้ผู้บริโภคสับสนในคุณภาพของสินค้าของตน
ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายสินค้าก็ควรจะหาทางทำให้สินค้าที่จำหน่ายในประเทศ ต่าง ๆ
มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือมิเช่นนั้นก็ควรจะบ่งระบุไว้ในสินค้าว่า
สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้านั้นมีคุณภาพเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ดี
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าสินค้านำเข้าซ้อนมีคุณภาพแตกต่างไปจากสินค้า
ที่จำหน่ายในประเทศหรือไม่
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลฎีกาจึงมิได้มีคำ
วินิจฉัยในปัญหานี้
(15) คำพิพากษาฎีกานี้ได้แสดงว่า
ประเทศไทยจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าใช้สิทธิของตนเพื่อ
ยับยั้งการนำเข้าซ้อน
ซึ่งประโยชน์ที่คาดเห็นได้ก็คือสิทธิในเครื่องหมายการค้าจะไม่ถูกนำไปใช้
เป็นเครื่องมือรักษาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบธุรกิจข้ามชาติ เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะไม่สามารถใช้นโยบายด้านราคาได้ตามที่ตนต้องการ
เนื่องจากอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันจากการนำเข้าซ้อนเชื่อได้ว่า
คำพิพากษาฎีกานี้จะส่งผลให้สินค้าในประเทศไทยมีราคาที่ไม่สูงเกินสมควรเมื่อ
เปรียบเทียบกับราคาของสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
จักรก
ฤษณ์ควรพจน์หมายเหตุ
(1)
การนำเข้าซ้อน (Parallelimport) ไม่ใช่คำที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลิขสิทธิ์สิทธิบัตร
และเครื่องหมายการค้า
หมายถึงการนำเข้าซึ่งสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายในประเทศแรกไป
จำหน่ายในประเทศหลังหรือย้อนกลับมาจำหน่ายในประเทศแรกในขณะที่ประเทศที่มี
การจำหน่ายนั้น
มีผู้ทรงสิทธิในเครื่องหมายการค้าเดียวกันจำหน่ายสินค้าเดียวกันนั้นอยู่ แล้ว
และอาจเกิดขึ้นในหลายลักษณะด้วยกัน
(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2817/2543
ที่บันทึกอยู่นี้นับเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาไทยเรื่องแรกที่วินิจฉัยปัญหาการ
"นำเข้าซ้อน"(Parallelimport)ไว้ค่อนข้างจะชัดเจน
เป็นการเปิดศักราชการเดินไปในแนวทางอนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อนซึ่งสินค้าที่
มีเครื่องหมายการค้าเดียวกันได้
อันสอดคล้องกับแนวทางในการแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรเมื่อปี 2542
(3)
ในอดีตศาลฎีกาไทยเคยมีความเห็นไปในทางไม่อนุญาตให้นำเข้าซ้อนได้ไม่ว่าจะ
เป็นเครื่องหมายการค้าคำว่า MYCOCHLORIN(ไมโคคลอริน)
กับสินค้ายา(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2499)
เครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าเครื่องยนต์(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271-1273/2508)
เครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าเครื่องพิมพ์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1669-1672/2523) และเครื่องหมายการค้าเบลป๊อปที่ใช้กับสินค้ากล้องยาสูบ
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2533) แม้จะมีคดีเรื่องหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่า
จำเลยสั่งสินค้าชนิดเดียวกัน (แป้งนม "ซิมิแลค") มาขายในประเทศไทยได้
ไม่เป็นละเมิด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2500)
ก็อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไม่เหมือนกับคดีอื่น ๆ
ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไปในทางตรงข้ามกล่าวคือ
โจทก์สั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยในฐานะเป็นตัวแทนช่วงขาย สินค้า
แล้วจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของสินค้านั้นที่กรมทะเบียนการค้า(ซึ่งเป็น
หน่วยงานที่รับผิดชอบในขณะนั้น
ปัจจุบันหน่วยงานที่มีหน้าที่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคือกรมทรัพย์สิน
ทางปัญญา) ดังนี้
ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ทำให้ผู้จดทะเบียนได้สิทธิเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า นั้น
เพราะตนไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์ จึงอาจสรุปได้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2817/2543
ที่บันทึกอยู่นี้ได้กลับหลักฎีกาเดิมไปแล้ว
(4)
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่ผู้ทรงสิทธิมีอยู่ในงานหรือสินค้าที่ตนสร้าง
สรรค์หรือผลิตขึ้นอาจระงับสิ้นไป (Exhaustionofrights) ด้วยการจำหน่ายงานหรือสินค้านั้น ๆ ก็ได้ แม้ตามความตกลง TRIPs จะไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้ก็ตาม ประเทศต่าง ๆ
มีสิทธิโดยอิสระที่จะยึดหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์หนึ่งเพื่อใช้วินิจฉัยความ
ระงับสิ้นไปซึ่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา บางประเทศใช้หลักการขายครั้งแรก (Firstsaledoctrine)
บ้างก็ใช้หลักระงับสิ้นไปเฉพาะภายในประเทศ
แต่ไม่ระงับสิ้นไปในต่างประเทศ (Nationalexhaustion) บ้างก็ใช้หลักระงับสิ้นไป
เฉพาะในภูมิภาค แต่นอกภูมิภาคไม่ระงับสิ้นไป (Regionalexhaustion)บ้างก็ใช้หลักระงับสิ้นไปทั้งภายในและต่างประเทศ (Internationalexhaustion)ส่วนคอมมอนลอว์ของอังกฤษยึดหลักการอนุญาตโดย ปริยาย (Impliedlicense)ซึ่งหมายถึงผู้ทรงสิทธิอนุญาตโดยปริยายให้ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์
นำผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปใช้ประโยชน์รวมทั้งการนำไปขายต่อได้ เว้นแต่ผู้ทรงสิทธิจะห้าม