ผู้กู้ มอบโฉนดให้ ผู้ให้กู้ ไว้เป็นประกันการกู้ยืม ต่อมาผู้กู้ไปแจ้งความว่า โฉนดหายไปและไปขอออกใบแทนแล้วโอนให้แก่ผู้อื่นไป ผู้ให้กู้เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้อง ผู้กู้แจ้งความเท็จ ได้หรือไม่ และผู้ให้กู้ต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้ที่ดินคืนมาประกันการชำระห
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172, 267, 268, 83
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
"ปัญหาในชั้นฎีกามีเพียงว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่
ตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า เมื่อ พ.ศ. 2520 จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ไป
61,000 บาท ได้ทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์ไว้ และเอาเรือบรรทุกทรายให้โจทก์เป็นประกัน
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขอเอาเรือไปใช้ แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2
ได้หายไปพร้อมกับเรือดังกล่าว
โจทก์ได้ร้องทุกข์และเจ้าพนักงานตำรวจได้จับตัวจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2
ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ติดต่อขอให้โจทก์ถอนคำร้องทุกข์โดยจำเลยที่ 2
จะนำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2
มาทำสัญญาขายฝากไว้กับโจทก์เป็นประกันการกู้เงินดังกล่าว ในการนี้จำเลยที่
2ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1
ไปทำสัญญาขายฝากกับโจทก์โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ แต่ทำการจดทะเบียนขายฝากไม่ได้เพราะลายมือชื่อของจำเลยที่
2 ไม่เหมือนเดิม จำเลยที่ 1 บอกโจทก์ว่าไม่เป็นไรเพราะสัญญากู้ยังมีอยู่
ต่อมาโจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้ จำเลยที่ 1 ท้าให้โจทก์ฟ้อง
โจทก์จึงได้ไปตรวจค้นที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2
ได้ขอออกใบแทนโฉนดดังกล่าวและโอนให้แก่ผู้อื่นไป โดยจำเลยที่ 1
ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดหายไป แล้วจำเลยที่ 1
ได้คัดรายงานประจำวันดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด
เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันว่าโฉนดดังกล่าวถูกไฟไหม้ไปซึ่งเป็นเท็จความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์
โดยจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ไว้ในวันไปทำสัญญาขายฝาก
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1
แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินถูกไฟไหม้ และจำเลยที่ 1
ใช้รายงานประจำวันที่พนักงานสอบสวนได้ทำขึ้นนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด
ตลอดจนการที่จำเลยทั้งสี่ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดถูกไฟไหม้ไปอันเป็นเท็จ
ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1
ที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปนั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว
เพราะการแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน
และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์
อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( ประมาณ
ชันซื่อ - มาโนช เพียรสนอง - เจริญ นิลเอสงฆ์ )
เมื่อผู้ให้กู้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายทางอาญาในความผิดฐานแจ้งความเท็จ
แต่ผู้ให้กู้สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนที่ทำให้ผู้ให้กู้เสียเปรียบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2555
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่
20425 ตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2
โอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นของจำเลยที่ 1 หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2
ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 20425
ตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ระหว่างจำเลยทั้งสอง
กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000
บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
แต่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 3,000 บาท และในชั้นอุทธรณ์
1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาททั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่
เห็นว่า แม้การที่จำเลยที่ 1
ยอมให้โจทก์ยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้จะไม่มีผลบังคับในทางจำนองแต่ก็แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่
1 ได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ยึดโฉนดที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
หากจำเลยที่ 1
ไม่ชำระโจทก์สามารถบังคับคดีเอากับที่ดินแปลงดังกล่าวได้และเพื่อไม่ให้จำเลยที่ 1
ไปทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั่นเอง การที่จำเลยที่
1
ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินจนเจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว
แล้วจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไป จำเลยที่ 1
ย่อมรู้ดีว่าทำให้โจทก์ไม่อาจที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินพิพาท
ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอื่นพอจะชำระหนี้ได้ และจำเลยที่
1 ก็ยอมรับว่าไม่ได้ประกอบอาชีพและไม่มีรายได้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่
2 ทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ฎีกาของจำเลยที่ 1
ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( สมยศ
เข็มทอง - ไชยยงค์ คงจันทร์ - เมทินี ชโลธร )
ศาลจังหวัดลำปาง
- นายสมชนก ปิยะสุวรรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
5 - นายกัมปนาท วงษ์นรา