อ้างว่า ไฟแนนซ์ให้มายึดรถที่ค้างค่างวดคืน ถ้าไม่อยากให้ยึด ต้องจ่ายค่าติดตามมา อย่างนี้ ผู้เช่าซื้อจะดำเนินคดีอาญากับพวกแอบอ้างอย่างนี้ได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5146/2557
โจทก์ พนักงานอัยการ จังหวัดอุดรธานี
จำเลย นายเอกกร
คำจันทร์
ป.อ.
กรรโชก มาตรา 337 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337,
83
กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน
2,300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 337
วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 3 ปี
ลักษณะของความผิด
ของจำเลยเป็นการหลอกลวงประชาชนผู้สุจริตให้ได้รับความเดือดร้อน
โดยมุ่งแสวงหา
ประโยชน์สวนตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้อื่น
เป็นเรื่องที่ร้ายแรง
จึงไม่รอการลงโทษ
ให้จำเลยคืนเงิน 2,300 บาท
ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 337 วรรคแรก
หรือไม่
ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริง
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค
4 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 222 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า
นางบุษกร
ผู้เสียหาย และนายเสริญ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน
นช 2738 อุดรธานี ที่ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด
(มหาชน) เป็นเจ้าของ แต่ผู้เสียหาย
และนายเสริญไม่ได้ทำสัญญาเช่าซือรถยนต์กระบะคันดังกล่าวจากธนาคารเกียรตินาคิน
จำกัด (มหาชน)
จำเลยไม่ได้เป็นพนักงานธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยกับพวกมาที่บ้านผู้เสียหาย
แจ้งว่าผู้เสียหายค้างชำระ
ค่างวดรถยนต์
3 งวด และมาติดตามค่างวด ผู้เสียหายบอกว่าสามีไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องรถ
จำเลยจึงบอกว่าถ้างั้นเอาค่าติดตามมา
ธนาคารให้จำเลยกับพวกมาติดตาม
รถยนต์คืน
ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี จำเลยถามว่ามีเท่าไร ผู้เสียหายบอกว่ามี
2,300
บาท จำเลยพูดว่าถ้าไม่งั้นจะเอารถยนต์ไป ผู้เสียหายกลัวจำเลยกับพวก
จะยึดรถยนต์ไปจึงบอกให้จำเลยกับพวกเอาเงิน
2,300 บาท ไป จำเลยจึงเอาเงิน
จำนวนดังกล่าวไป
เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก บัญญัติว่า
"ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะ
ที่เป็นทรัพย์สิน
โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต
ร่างกาย เสรีภาพ
ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม
จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก" ดังนี้ การขู่เข็ญว่า
จะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่า
จะได้รับภัยในทรัพย์สินของตนจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ
ซึ่งอาจขู่เข็ญตรงๆ
หรือใช้ถ้อยคำหรือทำกริยาให้เข้าใจเช่นนั้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่ผู้ขู่เข็ญต้องกระทำ
ต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญจนเสียรูปทรงหรือเปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิมหรือใช้การไม่ได้
หรือทำให้เสื่อมค่าเสื่อมราคาดังที่จำเลยฎีกา จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น
การที่จำเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน
หากไม่นำมาใช้จะยึดรถยนต์กระบะ
ของผู้เสียหายไป
จึงเข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตราย
ต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญคือรถยนต์กระบะของผู้เสียหายแล้ว ซึ่งทำให้ผู้เสียหาย
เกิดความกลัวและยินยอมนำเงิน 2,300 บาท ให้จำเลย การกระทำของจำเลย
จึงเป็นความผิดฐานกรรโชก
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
(ปกรณ์
มหรรณพ - สมยศ
เข็มทอง - นุจรินทร์
จันทร์พรายศรี)
ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์ - ย่อ
ชนากานต์ ธีรเวชพลกุล - ตรวจ