สัญญาจ้างแรงงาน มีข้อความว่า ห้ามพนักงานไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท หรือ เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำ
สัญญาจ้างแรงงาน
มีข้อความว่า
พนักงานจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทภายในกำหนดระยะเวลา 1
ปี นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดหรือพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท 5.1
ไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท 5.2
เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต
หรือจำหน่าย
ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท และพนักงานเคยมีส่วนเกี่ยวข้องในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท
เป็นสัญญาที่บังคับได้หรือไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 8307/54
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม
2548
โจทก์ตกลงรับจำเลยที่ 1 เข้าทำงานตำแหน่งพนักงานขาย
มีหน้าที่ขายสินค้าของโจทก์ประเภทกล่องบรรจุภัณฑ์โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ประกอบธุรกิจหรือทำงานในลักษณะหรือธุรกิจประเภทเดียวกันหรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ในระยะเวลา 1 ปี
นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน
หากผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
และหากผิดสัญญาโดยฝ่าฝืนตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงาน ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท
อีกต่างหากด้วย จำเลยที่ 2
เป็นผู้ค้ำประกันตกลงยอมชดใช้ค่าเสียหายในวงเงิน 20,000 บาท
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2549 จำเลยที่ 1
ลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์อ้างว่าไปทำธุรกิจส่วนตัว ปรากฏว่ายังไม่พ้นกำหนดเวลา 1 ปี
จำเลยที่ 1 ไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด
ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันและประกอบธุรกิจผลิตกล่องกระดาษประเภทเดียวกับโจทก์ จำเลยที่
1
ต้องหยุดการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงานที่ทำไว้กับโจทก์ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาจ้างแรงงาน 200,000 บาท
และตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงานอีก 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1
กระทำการที่ถือว่าฝ่าฝืนต่อสัญญาจ้างแรงงานที่ทำไว้กับโจทก์ โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด และห้ามมิให้จำเลยที่ 1
ทำธุรกิจหรือทำงานในธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ในระยะเวลา 1 ปี
นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ กับบังคับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 200,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่
1
ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายอีก 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามนั้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1
กระทำด้วยการเอาข้อมูลใดอันเป็นความลับทางการค้าใดของโจทก์ไปเปิดเผยแก่ลูกค้ารายใด ที่ไหน
เมื่อใด
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร
อันทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หลังจากจำเลยที่ 1 ทดลองงานเป็นเวลา 4 เดือน
โจทก์ให้ทำสัญญาจ้างแรงงานโดยอ้างว่าจะนำไปใช้ในทางธุรกิจและเพื่อความสะดวกในการจ่ายเงินเดือนและภาษี หากจำเลยที่
1
ไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจะไม่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่
1
หลงเชื่อและลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างแรงงานโดยสำคัญผิดทั้งนำแบบสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่มีการกรอกข้อความไปขอร้องให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ข้อกำหนดห้ามจำเลยที่ 1
ไปประกอบธุรกิจหรือทำงานประเภทเดียวกับโจทก์ในสัญญาจ้างแรงงานมีลักษณะเป็นการตัดทางประกอบอาชีพของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด
เป็นการปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยที่
1
โดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้
ทั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ
ข้อมูลการผลิตสินค้าของโจทก์ที่อ้างว่าเป็นความลับมีจำนวนมาก และจำเลยที่
1
ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอก จำเลยที่
1
ลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์เนื่องจากทะเลาะกับกรรมการโจทก์แล้วไปทำงานที่บริษัทบิ๊กบอลฟู้ดส์ จำกัด
ซึ่งประกอบธุรกิจอาหารสำเร็จรูปคนละประเภทกับธุรกิจของโจทก์ ค่าเสียหายตามฟ้องสูงเกินความเป็นจริง และจำเลยที่
2
รับผิดไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว
พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่
1 อุทธรณ์ข้อแรกว่า
คำฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทำการอบรมให้จำเลยที่ 1
ทราบเกี่ยวกับการผลิตและการขายสินค้ากล่องกระดาษ จำเลยที่
1
เอาข้อมูลใดอันเป็นความลีบทางการค้าใดของโจทก์ไปเปิดเผยแก่ลูกค้ารายใด ที่ไหน
เมื่อใด
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร
จำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจข้อหาตามฟ้อง เห็นว่า
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่าโจทก์จ้างจำเลยที่ 1 ทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย
มีหน้าที่ขายสินค้าของโจทก์ประเภทกล่องบรรจุภัณฑ์ ในการทำงานตำแหน่งหน้าที่นี้ทำให้จำเลยที่ 1 ทราบความลับทางการค้าของโจทก์ เช่น
ราคาสินค้าซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คู่แข่งทางการค้าของโจทก์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปิดเผยความลับดังกล่าว โจทก์จึงทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า
ข้อมูลทางการค้าอันเป็นความลับของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ทราบระหว่างทำงานตามสัญญา จำเลยที่
1
จะไม่เปิดเผยหรือใช้ประโยชน์ไม่ว่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น และภายใน
1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่
1
จะไม่ประกอบธุรกิจหรือทำงานในลักษณะหรือธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ หากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
และหากฝ่าฝืนบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่
1
ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท อีกต่างหาก
โดยมีรายละเอียดตามเอกสารแนบท้ายฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 1 ลาออกอ้างว่าเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวแต่ความจริงจำเลยที่ 1
เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด
ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกเดียวกันและทำธุรกิจผลิตกล่องกระดาษประเภทเดียวกับโจทก์ ภายในกำหนดระยะเวลาต้องห้ามตามสัญญา หากจำเลยที่
1
นำความลับทางการค้าของโจทก์ไปช่วยบริษัทดังกล่าวโดยขายตัดราคาของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยที่
1
ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ตามคำฟ้องพอเข้าใจได้ว่า
จำเลยที่ 1 ทราบความลับของโจทก์เรื่องใดได้อย่างไร และหลังจากลาออกจากโจทก์แล้ว จำเลยที่
1
จะนำความลับทางการค้าดังกล่าวไปช่วยบริษัทนายจ้างใหม่ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของโจทก์อย่างไร
ถือได้ว่าคำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอที่จะให้เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว หาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อสองว่า สัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย จ. 4
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540
ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์ เห็นว่า
สัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย จ. 4 ข้อ 5 มีข้อความว่า
พนักงานจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี
นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดหรือพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท 5.1 ไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท 5.2
เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต
หรือจำหน่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท
และพนักงานเคยมีส่วนเกี่ยวข้องในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท ข้อ 6
มีข้อความว่ากรณีที่พนักงานผิดสัญญาหรือฝ่าฝืนข้อกำหนดใด ในสัญญาฉบับนี้
พนักงานยินยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทตามความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกประการ ถ้าเป็นกรณีผิดสัญญา ข้อ 5
พนักงานต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
ทันทีโดยปราศจากเงื่อนไขทั้งสิ้น
ข้อความตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยที่ 1 อย่างเด็ดขาด
เพราะหากโจทก์ยินยอมจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิไปกระทำการต่าง
ๆ ตามข้อห้ามในสัญญาได้ และการกระทำที่เข้าข้อห้ามก็มีเฉพาะการไปทำงานในสถานประกอบการอื่นที่ประกอบธุรกิจแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนา ทำ
ผลิต
หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของโจทก์ หรือที่จำเลยที่ 1 เคยมีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างทำงานกับโจทก์ ทั้งกำหนดระยะเวลาที่ห้ามก็เพียง 1 ปี
นับแต่จำเลยที่ 1
พ้นจากการเป็นลูกจ้างของโจทก์
จึงไม่เป็นการตัดโอกาสในการประกอบอาชีพของจำเลยที่ 1
เสียทั้งหมดคงเป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่นานเกินควร
และเป็นสัญญาที่รักษาสิทธิประโยชน์ของคู่กรณีให้เป็นไปโดยชอบในเชิงการประกอบธุรกิจ
ย่อมไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540
ไม่ตกเป็นโมฆะ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาก็ต้องรับผิดตามสัญญาแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า
ศาลแรงงานกลางไม่ได้ตัดสินคดีตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ โดยข้ามไปตัดสินคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ไม่ตัดสินคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 หยุดกระทำการที่เป็นการฝ่าฝืนสัญญาก่อน และเมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างแรงงานแล้ว ศาลแรงงานกลางต้องพิพากษาห้ามจำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัท อินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด
หรือไม่ให้ทำธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี
แต่หาได้พิพากษาเช่นนั้นไม่
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
เห็นว่า
ศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยในคำพิพากษาว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ลาออกจากโจทก์ไม่ถึง 1 เดือน
ก็ไปทำงานกับบริษัทอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ในกำหนดระยะเวลาต้องห้าม ถือว่าผิดสัญญาจ้างแรงงาน ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเบี้ยปรับ 50,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยไม่กำหนดให้จำเลยที่ 1
ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลง และจำเลยที่
1
ไปขายสินค้าตัดราคาของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลความลับทางการค้าของโจทก์ ทั้งไม่อาจห้ามจำเลยที่ 1 ไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด หรือห้ามจำเลยที่ 1
ทำธุรกิจหรือทำงานในธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี
ดังข้างต้นได้
เพราะโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากสาเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำการดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีตามคำขอของโจทก์ครบถ้วนทุกข้อชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 แล้ว
และเมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะสาเหตุที่จำเลยที่ 1
ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลงหรือจำเลยที่ 1
ขายสินค้าตัดราคาของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลความลับทางการค้าของโจทก์ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจพิพากษาคดีโดยไม่ห้ามจำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์
จำกัด
หรือไม่ให้ทำธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี
นับแต่พ้นจากสถานะลูกจ้างของโจทก์
คำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว
อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า สัญญาจ้างแรงงานข้อ 6 ที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
เมื่อผิดสัญญาข้อ 5 ให้แก่โจทก์ไม่ใช่เบี้ยปรับ ศาลแรงงานกลางไม่อาจลดลงได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เต็มจำนวนแก่โจทก์ เห็นว่า
สัญญาจ้างแรงงานที่กำหนดให้จำเลยที่
1
ต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลแรงงานกลางมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.