ผู้เช่าซื้อ ขายดาวน์ ให้แก่ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อใช้ชื่อและที่อยู่ของบุคคลอื่นเป็นผู้ซื้อ เมื่อได้รับมอบรถยนต์ไปแล้ว ก็ไม่ยอมมาทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อ อย่างนี้ ผู้ซื้อจะมีความผิดอาญา ฐานใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7960/2551
พนักงานอัยการประจำศาลแขวงสงขลา โจทก์
นายทวี ศรีสวนแก้ว จำเลย
ป.อ. มาตรา 341
ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 341
กับให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคารถยนต์จำนวน 280,000
บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
(ที่ถูก ประกอบมาตรา 83)
จำคุก
3 ปี
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คงจำคุก 2
ปี ให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาจำนวน 280,000
บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9
พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า
นายจรัญผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1
ท - 5694
สงขลา ซึ่งเช่าซื้อมาจากบริษัทโตโยต้าสงขลา จำกัด ต่อมาวันที่ 19
มกราคม 2542
ผู้เสียหายขายดาวน์รถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อแทนในราคา 50,000
บาท จำเลยทำสัญญากับผู้เสียหายโดยใช้ชื่อในการทำสัญญาว่า นายดลหลี
จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวและรับรถยนต์ไปแล้ว ตามสัญญาซื้อรถยนต์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่...
การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าชื่อ ดลหลี ในการทำสัญญาซื้อรถยนต์
และระบุที่อยู่ว่า อยู่บ้านเลขที่ 87
ตำบลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ทั้งที่จำเลยมีชื่อจริงว่า ทวี
และมีที่อยู่จริงคือบ้านเลขที่ 1
หมู่ 2
ตำบลคลองเปีย อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร
ประกอบกับขณะทำสัญญาผู้เสียหายขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านจากจำเลย
แต่จำเลยไม่แสดงให้ผู้เสียหายดูจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
อีกทั้งหลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยก็ไม่มาทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อตามที่ตกลงกันไว้
พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรกในการหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อประสงค์จะไม่ให้ผู้เสียหายติดตามทวงรถยนต์คืนได้
โดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้จำเลยได้ไปซึ่งรถยนต์เสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหาย
อันเป็นความผิดตามฟ้องที่จำเลยฎีกาว่า
ผู้เสียหายขายดาวน์รถยนต์ให้แก่จำเลยโดยรู้ว่าตามสัญญาเช่าซื้อห้ามมิให้ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ไปจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่น
การกระทำของผู้เสียหายย่อมเป็นความฐานยักยอก จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น
เห็นว่า
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะมีข้อสัญญาห้ามมิให้ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่นก็ตาม
ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ให้เช่าซื้อกับผู้เสียหายซึ่งจะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง
ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า
ผู้เสียหายแจ้งให้บริษัทผู้ให้เช่าซื้อทราบแล้วว่าจะทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อเป็นจำเลย
เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์แก่จำเลย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยตรงโดยผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงด้วย
อีกทั้งขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะผู้เช่าซื้อจึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2 (4) ผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9
พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า
ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
(5) หรือไม่ เห็นว่า
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9
วินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
(5) พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
และเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
(5) พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
โดยให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9
พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ดังนี้
ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
(5) หรือไม่ จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว
ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า
การที่ศาลสั่งให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาจำนวน 280,000
บาท แก่ผู้เสียหาย เป็นการถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน 1
ท - 5694
สงขลาที่จำเลยฉ้อโกงไปจากผู้เสียหาย ไม่ใช่รถยนต์ของผู้เสียหาย
แต่เป็นรถยนต์ของบริษัทโตโยต้าสงขลา จำกัด
ซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อเท่านั้น
ประกอบกับผู้เสียหายชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทดังกล่าวประมาณ 120,000
บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมา ดังนั้น เพื่อให้การคืนรถยนต์หรือใช้ราคาเป็นไปโดยถูกต้อง
ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรสั่งให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแก่เจ้าของ
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำเลยคืนรถยนต์หมายเลยทะเบียน 1
ท - 5694
สงขลา หรือใช้ราคาจำนวน 280,000
บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
(
เกษม
วีรวงศ์ - พินิจ สายสอาด - อร่าม แย้มสอาด )