ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง แล้วโอนต่อไปให้บุคคลภายนอกโดยไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมคนอื่น ทายาทจะตั้งรูปคดีอย่างไร เพื่อไม่ให้ฟ้องขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13689/2556
จำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายและในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นของตนเอง
แล้วโอนต่อไปให้จำเลยที่ 2
ซึ่งเป็นบุตรโดยไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมคนอื่นและโจทก์ทั้งสอง
ย่อมเป็นการโอนไปหรือการจัดการมรดกโดยไม่ชอบ ทำให้โจทก์ทั้งสองผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบ
โจทก์ทั้งสองจึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300
จำเลยที่ 3
รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนมาจากจำเลยที่ 1
ผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยไม่มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 2
จึงไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะกรณีไม่ต้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300
และไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะรับโอนมาโดยสุจริต
เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต จำเลยที่ 3
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
การที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ทั้งสองให้แก่จำเลยที่ 3
จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะใช้ยันโจทก์ทั้งสองได้
โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2551
จำเลยที่ 1
มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช.
จึงเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแทนทายาททุกคนและมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาททุกคนเท่านั้น
จำเลยที่ 1
ไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะนำที่ดินพิพาทส่วนที่ตกได้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ไปขายให้แก่ผู้ใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
ฉะนั้นแม้จำเลยที่ 2
จะรับซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1
โดยสุจริต
เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้วก็ไม่ได้สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์คืน
จึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1336
ซึ่งไม่มีอายุความเรียกคืน ไม่ใช่เรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237
จึงนำอายุความ 1
ปี ตามมาตรา 240
มาใช้บังคับไม่ได้
จำเลยที่ 2
รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่
1 ซึ่งไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่
2 แม้จำเลยที่ 2
จะรับโอนมาโดยสุจริต
เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ 2
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท
ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การที่จำเลยที่ 1
จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่
2 จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะใช้ยันแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13689/2556
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3
ก.) เลขที่ 3252
ตำบลบึง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 17
พฤษภาคม 2537, 28
พฤษภาคม 2546
และวันที่ 27
พฤศจิกายน 2546
ให้จำเลยที่ 1
ดำเนินการโอนที่ดินเฉพาะส่วนแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 130
ตารางวา และให้จำเลยที่ 1
รับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมในการโอน หากจำเลยที่ 1
ไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและหากจำเลยที่ 1
ไม่สามารถดำเนินการได้
ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 1,100,000
บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว
นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะร่วมกันหรือแทนกันชำระให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1
ที่ 2
และที่ 3
ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3
ก.) เลขที่ 3252
ตำบลบึง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของจำเลยที่ 1
ฉบับลงวันที่ 17
พฤษภาคม 2537
และระหว่างจำเลยที่ 1
กับจำเลยที่ 2
ซึ่งได้จดทะเบียนการโอนให้เมื่อวันที่ 28
พฤษภาคม 2546
และระหว่างจำเลยที่ 2
กับจำเลยที่ 3
ซึ่งได้จดทะเบียนขายฉบับลงวันที่ 27
พฤศจิกายน 2546
ให้จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสองครอบครองคนละ
129 ตารางวา
มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000
บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1
และที่ 2
อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 2
ถึงแก่ความตาย นางสาววรรณา ทายาทของโจทก์ที่ 2
ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 5
ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733
วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3252 ตำบลบึง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งกระทำขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537, 28 พฤษภาคม 2546 และวันที่ 27 พฤศจิกายน 2546 เพื่อให้จำเลยที่ 1
โอนที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 130 ตารางวา
ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของนายโพล้ว ผู้ตาย
และตกเป็นของโจทก์ทั้งสองเฉพาะส่วน เมื่อนายโพล้ว
ผู้ตายถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองเป็นการใช้สิทธิในฐานะบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตรนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1300 ไม่ใช่การฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1733 วรรคสอง จึงไม่ขาดอายุความ 5 ปี ตามมาตรานี้ และไม่ใช่การฟ้องคดีละเมิดซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 จึงไม่ขาดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 ด้วย
คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองประการต่อมาว่า
โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3
ก.) เลขที่ 3252 ตำบลบึง
อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของจำเลยที่ 1
ฉบับลงวันที่ 17
พฤษภาคม 2537
และระหว่างจำเลยที่ 1
กับจำเลยที่ 2
ซึ่งจดทะเบียนโอนเมื่อวันที่ 28
พฤษภาคม 2546
และระหว่างจำเลยที่ 2
กับจำเลยที่ 3
ซึ่งจดทะเบียนโอนเมื่อวันที่ 27
พฤศจิกายน 2546
หรือไม่ เห็นว่า นายโพล้ว ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้
ทรัพย์มรดกของนายโพล้วผู้ตายจึงตกเป็นของทายาทโดยธรรมซึ่งคือบุตรทั้งห้า
ซึ่งรวมโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1
ด้วย การที่จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3252 ตำบลบึง อำเภอศรีราชา
จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นของตนเอง แล้วโอนต่อไปให้จำเลยที่ 2
โดยไม่แบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมคนอื่นอีก 4 คน
ซึ่งรวมโจทก์ทั้งสองด้วย ย่อมเป็นการโอนไปหรือการจัดการมรดกโดยไม่ชอบ
ทำให้โจทก์ทั้งสองผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบ
โจทก์ทั้งสองจึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1300 แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่
1
ชำระหนี้แทนกองมรดกไป 2
ครั้ง เป็นเงินรวม 62,000
บาท แต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1ชำระไปน้อยกว่าราคาที่ดินมรดกของผู้ตายมาก
จำเลยที่ 1
จึงไม่อาจนำที่ดินมรดกตีใช้หนี้จำเลยที่ 1
ได้ ส่วนที่เจ้ามรดกกู้เงินมาเพื่อให้บุตรหรือบุตร จำเลยที่ 1
ใช้จ่ายก็ไม่ทำให้หนี้ของกองมรดกกลายเป็นหนี้ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1
จึงยังเป็นเจ้าหนี้กองมรดกและมีสิทธิให้โจทก์ทั้งสองเฉลี่ยรับภาระหนี้ที่จำเลยที่ 1
ชำระแทนกองมรดกไป คนละ 62,000
บาท หารด้วย 5
เป็นเงินคนละ 12,400
บาท ก่อนที่จำเลยที่ 1
จะโอนที่ดินมรดกที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับคนละ 129
ตารางวา แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 3
รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 2
ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1
ผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยไม่มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 2
จึงไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะกรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
และไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3
แม้จำเลยที่ 3
จะรับโอนมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต จำเลยที่ 3
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามหลักที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
การที่จำเลยที่ 2
จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ทั้งสองให้แก่จำเลยที่ 3
จึงไม่มีผลทางกฎหมาย ที่จะใช้ยันแก่โจทก์ทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าวได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2
พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ
ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินแก่จำเลยที่ 1
คนละ 12,400
บาท ก่อน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( สุรศักดิ์
วาจาสิทธิศิลป์ - ศรีอัมพร ศาลิคุปต์ - สวัสดิ์ สุรวัฒนานันท์ )
ศาลจังหวัดพัทยา - นายสิงห์พิทักษ์
ละมูลมอญ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2
- นายจรัญ เนาวพนานนท์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2551
จำเลยที่ 1
มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช.
จึงเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแทนทายาททุกคนและมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาททุกคนเท่านั้น
จำเลยที่ 1
ไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะนำที่ดินพิพาทส่วนที่ตกได้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ไปขายให้แก่ผู้ใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
ฉะนั้นแม้จำเลยที่ 2
จะรับซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1
โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้วก็ไม่ได้สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์
การที่โจทก์มาฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์คืน
จึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1336
ซึ่งไม่มีอายุความเรียกคืน ไม่ใช่เรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237
จึงนำอายุความ 1
ปี ตามมาตรา 240
มาใช้บังคับไม่ได้
จำเลยที่ 2
รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1
ซึ่งไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2
แม้จำเลยที่ 2
จะรับโอนมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ 2
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
การที่จำเลยที่ 1
จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2
จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะใช้ยันแก่โจทก์ได้
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์เป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3
ก.) เลขที่ 1287
ตำบลบงเหนือ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ 12
ไร่ (ที่ถูก 13
ไร่) 2
งาน 71
ตารางวา โดยได้รับมรดกมาจากนางอ่อนจันทร์มารดาของโจทก์ เมื่อปี 2515
และได้ครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมา ต่อมาปี 2538
จำเลยที่ 1
ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก
จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกต้องดำเนินการทางทะเบียนโอนที่ดินมรดกให้โจทก์และทายาทอื่น
แต่จำเลยที่ 1
กลับเพิกเฉย โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยที่ 1
ต่อศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1
ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1
โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 838/2539
ของศาลชั้นต้น แต่ในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1
ได้ร่วมกันสมคบกับจำเลยที่ 2
จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2
โดยจำเลยทั้งสองต่างทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์อันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนแล้วให้จำเลยที่ 1
ไปดำเนินการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนซื้อขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
เลขที่ 1287
ตำบลบงเหนือ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ระหว่างจำเลยทั้งสอง
และบังคับให้จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1
ไม่ได้ไปดำเนินการโอนขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1
ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2
ให้การว่า จำเลยที่ 2
เป็นบุคคลภายนอกซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1
โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ 2
ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1
ให้โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ทั้งสภาพที่ดินพิพาทไม่มีสิ่งปลูกสร้างพอที่จะให้จำเลยที่ 2
ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2
จึงไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1
ฉ้อฉลโจทก์ตามฟ้องทั้งโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1
ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายบักคำ (สามีของจำเลยที่ 2)
แล้วตั้งแต่วันที่ทำบันทึกตกลงประนีประนอมยอมความกันที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสว่างแดนดิน
เมื่อวันที่ 7
กุมภาพันธ์ 2539
แล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้พ้นกำหนด 1
ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงเหตุฉ้อฉลแล้ว
ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 240
แล้วทั้งที่ดินพิพาทมีหลักฐานทางทะเบียนเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ซึ่งเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2
ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1
เมื่อวันที่ 26
ตุลาคม 2538
แล้วได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้คนเช่าทำไร่อ้อยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน
ถือได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนภายในกำหนด 1
ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง
ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
วรรคสอง แล้วเช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
เลขที่ 1287
ตำบลบงเหนือ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ระหว่างจำเลยที่ 1
กับจำเลยที่ 2
ให้จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์
โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000
บาท
จำเลยที่ 2
ฎีกา
โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบโต้แย้งกับฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่า
โจทก์กับจำเลยที่ 1
เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน โดยโจทก์เป็นบุตรของนางอ่อนจันทร์กับนายจันทร์ดี
ส่วนจำเลยที่ 1
เป็นบุตรของนางอ่อนจันทร์กับนายชิต บิดามารดาของโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียน
ส่วนบิดามารดาของจำเลยที่ 1
จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ 1
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3
คน คือจำเลยที่ 1
นายอุดมและนายสวัสดิ์ชัย ส่วนนายประเสริฐเป็นลูกติดมากับบิดาจำเลยที่ 1
ที่ดินพิพาทเดิมมีเนื้อที่ 24
ไร่ เป็นของนายอำคาขายให้แก่นายชิตบิดาจำเลยที่ 1
ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.2
ต่อมานางอ่อนจันทร์มารดาโจทก์ได้ร่วมกับนายชิตบิดาจำเลยที่ 1
ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 13
ไร่ นำรวมเข้ากับที่ดินเดิมเป็นประมาณ 37
ไร่ แล้วขอแบ่งแยกออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
ต่อมานายชิตบิดาจำเลยที่ 1
ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1
ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ตั้งจำเลยที่ 1
เป็นผู้จัดการมรดกของนายชิต เมื่อปี 2537
และภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1
ให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายชิต (ตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 260/2537
ลงวันที่ 23
ธันวาคม 2537
ตามสำเนาที่แนบท้ายหนังสือนำส่งพยานเอกสาร
ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสกลนครสาขาสว่างแดนดิน ฉบับลงวันที่ 12
กันยายน 2543) แล้วจำเลยที่
1 ในฐานะผู้จัดการมรดก
ได้ทำบันทึกตกลงแบ่งแยกที่ดินมรดกให้แก่ทายาทต่อหน้านายสว่างผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน
เมื่อวันที่ 29
พฤษภาคม 2538
ตามเอกสารหมาย ล.1
แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1
ไม่โอนที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือจำนวน 13
ไร่ ให้แก่โจทก์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 3
ตุลาคม 2538
ขอให้จำเลยที่ 1
โอนที่ดินพิพาทจำนวน 13
ไร่ ดังกล่าวตามที่ตกลงกันไว้ให้แก่โจทก์ ตามคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 549/2538
เอกสารหมาย จ.3
และต่อมาวันที่ 6
กรกฎาคม 2541
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 (ในขณะนั้น)
ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1
โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
เอกสารหมาย จ.4
คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ลงวันที่ 4
ตุลาคม 2544
ท้ายสำนวนคดีดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
จึงผูกพันจำเลยที่ 1
และในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1
ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2
เมื่อวันที่ 26
ตุลาคม 2538
ตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย จ.1
คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2
ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยที่ 2
ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1
โดยคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1
ปี ที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
แล้วหรือไม่ เห็นว่า สำหรับประเด็นแรกโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น
ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์เป็นบุตรของนางอ่อนจันทร์กับนายจันทร์ดี
ซึ่งอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
และต่อมามารดาโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับนายชิตบิดาจำเลยที่ 1
และมีบุตรด้วยกัน 3
คน คือจำเลยที่ 1
นายอุดม นายสวัสดิ์ชัย โจทก์จึงไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชิตบิดาจำเลยที่ 1
โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของบิดาจำเลยที่ 1
แต่โจทก์มีสิทธิรับมรดกของจำเลยที่ 1
ในส่วนที่ตกแก่มารดาโจทก์ในฐานะคู่สมรสและถือเป็นทายาทคนหนึ่งของบิดาจำเลยที่ 1
ทั้งโจทก์นำสืบว่า เมื่อมารดาโจทก์มาอยู่กินกับนายชิต
ได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทเพิ่มเติมประมาณ 13
ไร่ จากที่ดินเดิม 24
ไร่ ที่ซื้อจากนางอำคารวมเป็น 37
ไร่เศษ แล้วแบ่งแยกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
ดังนี้เมื่อนายชิตถึงแก่กรรม ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
จึงเป็นทรัพย์มรดกที่ตกแก่มารดาโจทก์ในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายครึ่งหนึ่ง
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งตกแก่ทายาที่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชิตกับมารดาโจทก์คือจำเลยที่
1 กับพี่น้องรวม 3
คน คนละหนึ่งส่วน โดยมารดาโจทก์ยังมีส่วนได้รับในฐานะทายาทชั้นบุตรด้วยอีก 1
ส่วน และเมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมในภายหลัง
ส่วนที่ตกเป็นมรดกของมารดาโจทก์ก็ย่อมตกแก่โจทก์
ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของมารดาโจทก์
โจทก์จึงมีส่วนได้ในที่ดินพิพาทที่เป็นทรัพย์มรดกของนายชิตบิดาจำเลยที่ 1
ด้วย และจากคำเบิกความของโจทก์ที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า
นางอ่อนจันทร์มารดาของโจทก์ ได้ถึงแก่กรรมภายหลังนายชิตประมาณ 4
ให้แก่ลูกๆ จำนวน 5
ล็อก โดยมีสิ่งบอกหลักเขตหรือแนวกรรมสิทธิ์ได้ แต่ไม่ได้โอนทางทะเบียน
และระหว่างนั้นมารดาโจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทจำนวน 13
ไร่ ให้แก่นางใหม่ ต่อมาโจทก์ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวคืนมาจากนางใหม่
โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกัน แต่นางใหม่ให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ที่โจทก์
ข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังสอดคล้องกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายชิตบิดาจำเลยที่
1 ถึงแก่กรรมแล้ว
โจทก์ได้ออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยที่ 1
ไปยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลตั้งจำเลยที่ 1
เป็นผู้จัดการมรดกของนายชิต
เพื่อจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทหลังจากศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่
1
เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1
ได้ดำเนินการรับโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชิต แล้วได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินในนามเดิมออกเป็น 5
แปลง เมื่อวันที่ 21
กันยายน 2538
คงเหลือที่ดินในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
เพียง 13
ไร่ 2
งาน 71
ตารางวา ตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลัง ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์นำสืบว่า
ก่อนที่จำเลยที่ 1
จะไปดำเนินการขอแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็นแปลงๆ นั้น โจทก์กับจำเลยที่ 1
ไม่สามารถตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินดังกล่าวได้ จึงได้ไปเจรจาตกลงแบ่งที่ดินพิพาทกันต่อหน้านายสว่างผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านตามเอกสารหมาย
ล.1 เมื่อวันที่ 29
พฤษภาคม 2538
โดยโจทก์มีนายสว่างผู้ใหญ่บ้าน และนายหนู
นายจันทากับนายถวิลกรรมการหมู่บ้านมาเบิกความว่าร่วมเป็นกรรมการในการเจรจาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่
1 และโจทก์กับจำเลยที่
1 ได้ตกลงแบ่งปันที่ดินพิพาทกันตามเอกสารหมาย
ล.1 ว่า จำเลยที่ 1
ขอแบ่งที่ดิน 2
แปลง แปลงหนึ่งเนื้อที่ 1
งาน อีกแปลงหนึ่งเนื้อที่ 4
ไร่ 3
งาน นายประเสริฐได้ 1
แปลง เนื้อที่ 4
ไร่ 3
งาน นายอุดมได้ 1
แปลง เนื้อที่ 4
ไร่ 3
งาน นายสวัสดิ์ชัย 1
แปลง เนื้อที่ 4
ไร่ 3
งาน ส่วนโจทก์ได้ที่ดินส่วนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยที่ 1
กับพี่น้องซึ่งเป็นบุตรของนายชิตรวม 4
คน ได้ที่ดินรวม 5
แปลง โดยจำเลยที่ 1
ได้ 2
แปลง คนอื่นได้คนละ 1
แปลง ซึ่งตรงกันจำนวนแปลงที่จำเลยที่ 1
ได้ขอแบ่งตามที่ระบุไว้ในสารบัญจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.1
ซึ่งแต่ละแปลงมีเนื้อที่ใกล้เคียงกับที่ตกลงกันไว้ในเอกสารหมาย ล.1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1
ได้ 2
แปลง มีแปลงหนึ่งเนื้อที่ 1
งานเศษด้วย จึงเชื่อได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1
ได้ตกลงแบ่งที่ดินมรดกเอกสารหมาย ล.1
กันต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1
จึงไปดำเนินการขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นแปลงตามที่ตกลงกันไว้จริงโดยคงเหลือที่ดินในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน
13 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยที่
1
ตกลงให้ตกเป็นของโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ล.1
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทกันในคดีนี้คือ ที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 12
ไร่เศษ ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
ซึ่งต่อมาภายหลังจำเลยที่ 1
ได้โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2
เมื่อวันที่ 26
ตุลาคม 2538
นั้น เป็นของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชิต เป็นผู้ถือสิทธิ์ครอบครองแทนเท่านั้น
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปในประเด็นที่ 2
และที่ 3
ว่า จำเลยที่ 2
ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1
โดยสมรู้ร่วมคิดกันฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1
ปี ที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
แล้วหรือไม่นั้นเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การที่จำเลยที่ 1
โอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2
นั้น เป็นการทำนิติกรรมฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามที่วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1
ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชิต จึงเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแทนทายาททุกคนและมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาททุกคนเท่านั้น
จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนที่ตกได้แก่ทายาทคนใดไปขายให้บุคคลใด
โดยทายาทผู้นั้นไม่ยินยอมทั้งสิ้น ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิและไม่มีอำนาจที่จะนำที่ดินพิพาทส่วนที่ตกได้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้จำนวน
13 ไร่เศษ ไปขายให้แก่ผู้ใด โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
ฉะนั้นแม้จำเลยที่ 2 จะซื้อที่ดินดังกล่าวไว้สุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้วก็ตาม
จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้สิทธิเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์
เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิและไม่มีอำนาจโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 นั่นเอง ดังนั้น การที่โจทก์มาฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์คืนนั้น
จึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความเรียกคืน
กรณีจึงไม่ใช่เรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
เพราะการที่จะเป็นเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉลได้นั้น จำเลยที่ 1
ผู้โอนจะต้องมีสิทธิโอนอยู่แล้ว แต่การโอนทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียหายเท่านั้น
แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1
โอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2
โดยไม่มีสิทธิและไม่มีอำนาจดังกล่าวมาแล้ว จึงนำอายุความ 1
ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
ในการเพิกถอนการฉ้อฉลมาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 1
ปี ตามที่จำเลยที่ 2
ฎีกาโต้แย้งมา
และเมื่อคดีนี้ไม่ใช่เรื่องการขอเพิกถอนการฉ้อฉลแต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2
รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1
ซึ่งไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2
แล้ว แม้จำเลยที่ 2
จะรับโอนมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท
ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การที่จำเลยที่ 1
จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2
จึงไม่มีทางกฎหมายที่จะใช้ยันแก่โจทก์ได้
อนึ่ง คดีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่งการครอบครองที่โจทก์จะต้องฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด
1 ปี ดังที่จำเลยที่ 2
ให้การต่อสู้ด้วย เพราะในเรื่องการแย่งการครอบครองนั้น
จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยที่ 2
ไม่ได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้ว
จึงไม่มีประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1375
ฉะนั้น จำเลยที่ 2
จะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายในกำหนด 1
ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1
ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายบัวคำสามีของจำเลยที่ 2
เมื่อวันที่ 7
กุมภาพันธ์ 2539
ตามบันทึกตกลงประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.5
ที่ทำที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสว่างแดนดิน
แล้วโจทก์จึงสิ้นสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2
นั้น ก็ฟังไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4
วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1336
ซึ่งไม่มีอายุความไม่ใช่เรื่องเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
237 จึงไม่ขาดอายุความ 1
ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
แล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาท ระหว่างจำเลยที่ 1
กับจำเลยที่ 2
และให้จำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2
ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000
บาท แทนโจทก์
( ประเสริฐ
โอนพรัตน์วิบูล - กำธร โพธิ์สุวัฒนากุล - สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร )