ที่ดิน ภ.บ.ท.5 ซื้อขายกันได้ แต่ถ้าเป็นที่สาธารณประโยชน์ สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๐๘/๒๕๕๗
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งมีแบบแสดงรายการที่ดิน(ภ.บ.ท.๕) และใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่
(ภ.บ.ท.๑๑)จากจำเลยที่ ๑ โดยปลอดภาระผูกพันหรือภาระติดพันใด ๆ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑
คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยเพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุได้หรือไม่ เห็นว่า
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใด
ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๒ และที่ราชพัสดุ หมายความว่า
อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๔ ดังนั้น
ที่ดินพิพาทไม่มีภาระผูกพันหรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๒๙ จำเลยที่ ๑
ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แต่ครอบครองที่ดินพิพาทและขายสิทธิครอบครองนั้นให้แก่โจทก์โดยโอนไปซึ่งการครอบครองตามมาตรา
๑๓๗๘ ในระหว่างเอกชนด้วยกัน การขายสิทธิครอบครองที่ดินของรัฐใช้บังคับได้
โจทก์ทำนิติกรรมซื้อสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีแบบแสดงรายการที่ดิน(ภ.บ.ท.๕)และใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่(ภ.บ.ท.๑๑)จากจำเลยที่
๑ ด้วยใจสมัครตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙
โดยทราบดีว่าเป็นที่ดินมือเปล่าอันเป็นของรัฐ เมื่อจำเลยที่ ๑
โอนไปซึ่งการครอบครองต้องตามวัตถุประสงค์แล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่
๑ คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค
๗ พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(สุรพันธุ์
ละอองมณี – ธราธร ศิลปโอสถ – สุพจน์ ธำรงเวียงผึ้ง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7464/2555
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
"ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 4
พฤษภาคม
2547
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์เนื้อที่ 1
ไร่ จากจำเลยราคา
150,000
บาท ต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบลศรีสำราญห้ามมิให้โจทก์เข้าครอบครอง
ทำประโยชน์ในที่ดิน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงิน
ค่าที่ดินพร้อมดอกเบี้ยคืนจากจำเลยหรือไม่
เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์
จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1305
บัญญัติว่า ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้
เว้นแต่
อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา
การที่โจทก์จำเลยทำสัญญา
ซื้อขายที่ดินพิพาท (เป็นที่สาธารณประโยชน์)
แก่กัน
จึงเป็นการทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150
และมีผลเป็นการเสียเปล่าเท่ากับโจทก์จำเลยมิได้ทำสัญญาซื้อขายกันและต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมแก่กันโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับตามมาตรา
172
แต่การที่โจทก์ชำระราคาที่ดินพิพาทแก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายโดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ ถือว่าเป็นการกระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ
ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตามมาตรา 407
และมาตรา 411
โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับคืนราคาที่ดินที่ชำระแก่จำเลยดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค
7 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี
- นิยุต สุภัทรพาหิรผล
- ธีระพงศ์ จิระภาค)