เมียคนไทยมีชื่อและครอบครองที่ดินไว้แทนฝรั่งต่างชาติ แล้วฮุบเอาที่ดินเป็นของตนเองหรือเอาไปขาย ถ้าฝรั่งต่างชาติโวยวายเอาคืน เมียคนไทยระวังจะโดนข้อหายักยอกทรัพย์ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12250/2557) แต่ถ้าให้ใส่ชื่อไว้อย่างเดียว ไม่ได้ให้ครอบครองด้วย เอาไปขาย
เมียคนไทยมีชื่อและครอบครองที่ดินไว้แทนฝรั่งต่างชาติ
แล้วฮุบเอาที่ดินเป็นของตนเองหรือเอาไปขาย ถ้าฝรั่งต่างชาติโวยวายเอาคืน
เมียคนไทยระวังจะโดนข้อหายักยอกทรัพย์ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12250/2557)
แต่ถ้าให้ใส่ชื่อไว้อย่างเดียว ไม่ได้ให้ครอบครองด้วย เอาไปขาย ผิดลักทรัพย์นะครับ
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2557)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
12250/2557
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 350, 352
ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายแอนโทนี่
ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 352
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 352 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก
3 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เพียงบทเดียว
ส่วนโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อหาโกงเจ้าหนี้ให้ยก
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยจดทะเบียนขายฝากทรัพย์พิพาทอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยไว้แก่พันตำรวจเอกมนตรีภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีดังกล่าวแล้วนั้น
จึงมิใช่การทำสัญญาในลักษณะปกติ
แม้คดียังมีข้อโต้เถียงกรรมสิทธิ์และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่นก็ตาม
ถือว่าโจทก์ (โจทก์ร่วมในคดีนี้) อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีอำนาจจะฟ้องจำเลยแล้ว
จึงเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4
ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกหรือไม่
เมื่อคดีฟังเป็นยุติว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย โจทก์ร่วมกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์พิพาท
การที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่พันตำรวจเอกมนตรี
โดยโจทก์ร่วมไม่ทราบและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วมก่อน
และไม่ไถ่คืนภายในกำหนดเช่นนี้
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต
เป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก อีกบทหนึ่งด้วย
การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแล้วมานี้
เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้บทลงโทษตามมาตรา
352 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 352
วรรคแรก ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4096/2557
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 4,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา
นางมาร์ลินเด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ให้ปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค
2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 1 ปี
ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,500,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
2 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานยักยอก
เนื่องจากหลังจากนายเฮนดริกซื้อห้องชุดแล้ว ประมาณเดือนเมษายน 2536
นายเฮนดริกเห็นว่าห้องชุดที่ซื้อมามีขนาดเล็กไป ต้องการจะซื้อห้องชุดใหม่
นายเฮนดริกเสนอขายห้องชุดให้แก่จำเลยในราคา 1,800,000 บาท จำเลยชำระเงินมัดจำ
300,000 บาท นายเฮนดริกมอบสัญญา สำเนาหนังสือเดินทาง กับกุญแจห้องชุดให้แก่จำเลย
เดือนตุลาคม 2537
นายเฮนดริกเดินทางมาประเทศไทยจำเลยมอบเงินส่วนที่เหลือให้แก่นายเฮนดริกแล้ว
กรรมสิทธิ์ห้องชุดเป็นของจำเลยนั้น เห็นว่า เมื่อนายเฮนดริกมอบ หมายให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดแทนนายเฮนดริกมีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่าง
นายเฮนดริกกับจำเลย เป็นหนังสือทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยไว้เป็นหลักฐาน
โดยนายสุวิทย์ ทนายความผู้ทำบันทึกข้อตกลงมาเบิกความรับรองว่า
เมื่อทำบันทึกข้อตกลงแล้ว มอบเอกสารเกี่ยวกับอาคารชุดทั้งหมด เช่น
สัญญาโฉนดที่ดินให้นายเฮนดริกเป็นผู้เก็บรักษา นายสุวิทย์รู้จักจำเลย
ไม่เคยรู้จักนายเฮนดริกมาก่อน นายสุวิทย์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า
จำเลยเป็นผู้พานายเฮนดริกมาทำสัญญา ดังนั้น
ในการทำบันทึกซึ่งจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้ประโยชน์ นายเฮนดริกให้จำเลยทำบันทึกเป็นหลักฐาน
แต่เมื่อจำเลยซื้อห้องชุดจากนายเฮนดริกกลับไม่มีหลักฐาน
มีเฉพาะพยานบุคคลส่วนที่เป็นพยานเอกสาร คือ สำเนาหนังสือเดินทาง
รายการบัญชีเงินฝากของจำเลยและเช็คไม่มีข้อความชี้ชัดหรือสามารถสื่อแสดงว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการซื้อขายห้องชุดระหว่างนายเฮนดริกกับจำเลยได้
นอกจากนี้ เมื่อนายเฮนดริกและโจทก์ร่วมเดินทางมาประเทศไทยเข้าพักที่ห้องชุดตลอดมา
ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจว่าเล็กหรือต้องการไปหาซื้อห้องชุดแห่งใหม่ตามข้ออ้างของจำเลย
แม้จำเลยอ้างว่าเป็นการเข้าพักโดยต้องขออนุญาตจากจำเลยเป็นเรื่องที่ยกขึ้นต่อสู้ได้โดยง่าย
ข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากนายเฮนดริกถึงแก่ความตายแล้ว
จำเลยขอออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่อ้างว่า
หนังสือชุดฉบับเดิมสูญหายยิ่งทำให้ข้อนำสืบของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ
พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่านายเฮนดริกขายห้องชุดให้แก่จำเลย
ส่วนปัญหาว่า
การที่จำเลยไปแจ้งขอออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่แทนฉบับเดิมและนำไปขายแก่บุคคลอื่นและเอาเงินที่ขายได้เป็นของจำเลยเองนั้น
เป็นการกระทำความผิดฐานใด ได้ความว่า นายเฮนดริกเพียงแต่ให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดไว้แทน
เนื่องจากนายเฮนดริกเป็นบุคคลต่างด้าวไม่อาจมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
อันมิใช่เป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดและยังได้ความจากนางสาวโสมอุสา
พยานโจทก์และจำเลยเบิกความว่า นายเฮนดริกมาพักที่ห้องชุดพิพาทบ่อยครั้ง ครั้งละนาน
ๆ เป็นเดือน เมื่อกลับจะฝากกุญแจไว้ที่ประชาสัมพันธ์
นอกจากนี้โจทก์ร่วมก็เดินทางมาพักที่ห้องชุดด้วย แต่มาพักไม่พร้อมกัน นายปีเตอร์
ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ร่วมเบิกความว่า สาเหตุที่โจทก์ร่วมทราบว่า
จำเลยนำห้องชุดไปขายเพราะเพื่อนของโจทก์ร่วมต้องย้ายจากจังหวัดภูเก็ตมาพักที่พัทยา
โจทก์ร่วมให้เพื่อนมาพักที่ห้องชุด แต่ไม่สามารถไขกุญแจประตูได้
อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองห้องชุดของนายเฮนดริกและโจทก์ร่วม
ส่วนจำเลยไม่เคยเข้าพัก แม้อาจเคยให้ญาติหรือบุคคลอื่นมาพักบ้าง
ก็เป็นการถือวิสาสะ ไม่ส่งผลให้จำเลยมีสิทธิครอบครองห้องชุดพิพาท
เอกสารสิทธิเกี่ยวกับห้องชุดน่าเชื่อว่านายเฮนดริกเป็นผู้เก็บรักษาไว้ตามบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้น
แม้ได้ความว่า จำเลยเป็นผู้ถือกุญแจหรือเป็นผู้ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ
ก็เป็นการกระทำการแทนนายเฮนดริกชั่วครั้งชั่วคราวตามที่ได้รับมอบหมาย
กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงยังอยู่ที่นายเฮนดริกและโจทก์ร่วม การที่จำเลยแจ้งเท็จเพื่อทำหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่แทนฉบับเดิม
เปลี่ยนกุญแจและเข้าครอบครองห้องชุดและทรัพย์ต่าง ๆ
ในห้องชุดแล้วนำไปขายแก่บุคคลอื่นโดยนายเฮนดริกและโจทก์ร่วมไม่รู้เห็นยินยอม เป็นการแย่งกรรมสิทธิ์ห้องชุดของนายเฮนดริกและโจทก์ร่วมโดยใช้อุบายและแย่งการครอบครองห้องชุด
ต่อมาเมื่อจำเลยนำห้องชุดของโจทก์ร่วมไปขายเงินที่ได้จากการขายห้องชุดเป็นผลสืบเนื่องจากการแย่งกรรมสิทธิ์และการครอบครองของจำเลยเพราะนายเฮนดริกหรือโจทก์ร่วมไม่ได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แม้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษในความผิดฐานยักยอกเงินที่ได้จากการขายห้องชุด
แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง
แต่เป็นข้อแตกต่างในรายละเอียด มิใช่แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ
เมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม
และแม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้
แต่ไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ประกอบมาตรา 225
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า
โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วม
การที่นายเฮนดริกให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดแทนเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวมีกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยเป็นสัญญาที่ขัดกฎหมาย
เป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
และคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 96 นั้น เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์มิใช่ความผิดอันยอมความได้
ฎีกาของจำเลยข้อดังกล่าวไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
2