ซื้อรถยนต์มือสองจากบริษัทขายรถยนต์ ต่อมารถยนต์ถูกตำรวจยึด เพราะเจ้าของรถไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย ผู้ซื้อรถต้องทำอย่างไร เสียทั้งเงินเสียทั้งรถ
ซื้อรถยนต์มือสองจากบริษัทขายรถยนต์
ต่อมารถยนต์ถูกตำรวจยึด เพราะเจ้าของรถไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย ผู้ซื้อรถต้องทำอย่างไร
เสียทั้งเงินเสียทั้งรถ
ในเรื่องนี้
คงต้องบอกว่า รถที่ซื้อและถูกยึดไปนั้น คงไม่ได้คืน
ผู้ซื้อต้องฟ้องบริษัทขายรถให้ชดใช้ราคาได้เท่านั้น อายุความ ๑๐ ปี ครับ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเรื่องนี้ไว้อย่างนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๙๐/๒๕๑๘ (ประชุมใหญ่)
โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยตั้งร้านค้าจำหน่ายรถจักรยานยนต์อยู่ในตลาดเทศบาลเมืองสิงห์บุรี
ใช้ชื่อร้านค้า "ไทยฮวด" เมื่อปี พ.ศ. 2510
โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าชนิด 175 ซี.ซี. จากร้านค้าของจำเลย 1 คันราคา
9,000 บาท เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2512
ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์อ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงเอกสารเจ้าของแท้จริงจึงเอาคืนไป
โจทก์ซื้อรถจากจำเลยในท้องตลาดโดยสุจริต
เป็นความผิดและความบกพร่องของจำเลยที่ขโมยรถของผู้อื่นมาขาย
โจทก์มีรถแทร็กเตอร์รับจ้างเกรดดินและมีรถยนต์รับจ้างบรรทุกสินค้านับแต่รถถูกตำรวจยึด
โจทก์ต้องว่าจ้างรถผู้อื่นไปติดต่องานเสียค่าจ้างเดือนละ 500 บาท เป็นเวลาประมาณ 8
เดือน เป็นเงิน 4,000 บาท ขอให้จำเลยคืนเงินราคารถจักรยานยนต์ 9,000
บาทและค่าเสียหาย 4,000 บาทให้โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500
บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า
ไม่ได้ตั้งร้านค้าจำหน่ายรถจักรยานยนต์ใช้ชื่อว่าร้านไทยฮวด แต่อย่างใด
โจทก์ไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ไปจากจำเลย
โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านค้าของบุคคลอื่นซึ่งได้รถมาในทางการค้าขายในท้องตลาดโดยสุจริต
และโจทก์ซื้อไปจากผู้ขายในท้องตลาดโดยสุจริต จึงได้กรรมสิทธิ์โดยชอบ
ไม่จำต้องมอบรถคันดังกล่าวให้แก่ผู้ใดโดยยังไม่ได้รับชำระราคา
ตำรวจยึดรถไปจากโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง
หากจะมีก็เป็นการที่โจทก์ยอมให้ยึดไป จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง
ไม่ใช่เรื่องการรอนสิทธิ โจทก์ไม่มีธุรกิจที่จะใช้รถจักรยานยนต์ติดต่อการงาน
และไม่ได้จ้างรถจักรยานยนต์เดือนละ 500 บาท จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
โจทก์มิได้ฟ้องภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่โจทก์มอบรถจักรยานยนต์ให้แก่บุคคลอื่นไป
คดีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด
ไทยฮวดพานิช โดยนายเจ็งเกียจิ๋ว แซ่เจ็ง ผู้จัดการเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า
โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์ไปจากท้องตลาดโดยสุจริต จำเลยร่วมได้มาในทางการค้าโดยสุจริต
โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ควรไปเรียกร้องเอากับผู้ที่เอารถไปจากโจทก์
จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิด
จำเลยร่วมไม่ทราบและไม่รับรองว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์
หากจะเป็นความจริงก็เพราะโจทก์ยอมให้ยึดไป เป็นความผิดของโจทก์เอง
โจทก์ไม่ได้เสียหายดังฟ้อง โจทก์ไม่ได้ฟ้องภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่โจทก์มอบรถจักรยานยนต์ให้บุคคลอื่น
คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า
โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยในเหตุรอนสิทธิได้
โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์และค่าเสียหายได้ สำหรับค่าเสียหายเรียกได้เดือนละ
50 บาท ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481
ต้องใช้อายุความตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีบังคับ พิพากษากลับ
คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ราคารถจักรยานยนต์กับค่าไม่ได้ใช้รถ
รวมเป็นเงิน 9,400 บาท และค่าไม่ได้ใช้รถเดือนละ 50
บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้ราคารถจักรยานยนต์ 9,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถจักรยานยนต์คันที่โจทก์ซื้อจากร้านจำเลยร่วมนั้นเป็นของบริษัทคาวาซากิที่หายไป
และตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไว้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า
1.
จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะการรอนสิทธิหรือไม่
2.
โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์และค่าเสียหายหรือไม่
3.
ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ปัญหาข้อ
1 เห็นว่า แม้โจทก์จะได้รถจักรยานยนต์จากการซื้อขายในท้องตลาดและมีสิทธิที่จะติดตามเอารถคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1336 ก็ตาม แต่เมื่อความปรากฏว่าเป็นรถของ ค. ที่หายไป
ซึ่งโจทก์จะต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง
และพนักงานสอบสวนในคดีที่จำเลยต้องหาว่ารับของโจรก็ว่า
ถึงโจทก์จะมาขอรับรถจักรยานยนต์คืนก็ไม่คืนให้
จำเลยในฐานะผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์
เพราะทรัพย์สินที่ซื้อขายหลุดไปจากโจทก์เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา 479
และแม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอให้ชดใช้ราคาจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยตรงตามมาตรา
1332 ก็มิได้หมายความว่า โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้
เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
ปัญหาข้อที่
2 ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย
การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคนอื่นไปใช้งาน
จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
ปัญหาข้อที่
3 การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481
บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3
เดือนนั้นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ
การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด
มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น
ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา
164 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๓๙๖/๒๕๒๙
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วยี่ห้อง บี.เอ็ม.ดับบลิว หมายเลขทะเบียน ๔ ก - ๕๐๓๐
กรุงเทพมหานคร โดยเปิดเผยและโดยสุจริตจากจำเลยที่ ๑
ซึ่งเป็นพ่อค้าขายรถยนต์ที่ตลาดนัดรถยนต์
อันเป็นท้องตลาดที่พ่อค้าเสนอขายรถยนต์ในราคา ๑๖๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระราคาเป็นงวด ๆ และโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ราคา ๕๐,๐๐๐ บาทกับเงินสดจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ชำระแก่จำเลยที่ ๑ ส่วนราคาที่เหลือจำเลยที่ ๑ ติดต่อสมยอมกับจำเลยที่
๒ จัดการโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๔ก-๕๐๓๐ เป็นของจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๒
ทำสัญญาให้โจทก์เช่าซื้อผ่อนชำระเดือนละงวดงวดละ ๓,๗๓๔ บาท
รวม ๓๐ งวด คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท
รวมเป็นค่าเช่าซื้อด้วย รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๑๒,๐๒๐ บาท โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดที่
๑๖ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนแผนก ๒ กองกำกับการ ๑
กองปราบปรามสังกัดกรมตำรวจ ซึ่งเป็นจำเลยที่ ๔
ได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ ๓
ทราบดีอยู่แล้วว่ากองทะเบียน กรมตำรวจ ได้ตรวจสอบสภาพและทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวและอนุมัติให้ทำการซื้อขายได้แล้ว
จำเลยที่ ๓
กลับอ้างว่าสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าซื้อไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วยึดรถคันดังกล่าวไป
เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการใช้รถ
ต้องว่าจ้างรถแท็กซี่ใช้ในกิจการของโจทก์
การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นเหตุให้โจทก์ถูกรอนสิทธิ
ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๔ก-๕๐๓๐
หรือใช้ราคาเป็นเงิน ๑๙๒,๐๒๐ บาท และใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน
๒๙,๖๐๐ บาท
กับค่าเสียหายนับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นเงินวันละ ๒๐๐ บาทจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาแก่โจทก์
จำเลยที่
๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยขายรถยนต์ยี่ห้อ บี.เอ็ม.ดับบลิว หมายเลขทะเบียน
๔ก-๕๐๓๐ แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ มิได้กระทำให้โจทก์ถูกรอนสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่
๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๒ ไม่เคยสมยอมกับจำเลยที่ ๑ รับซื้อรถยนต์ตามฟ้อง
โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ติดต่อให้จำเลยที่ ๒
รับซื้อรถยนต์ตามฟ้องไว้เพื่อโจทก์จะได้เช่าซื้อจากจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒
จึงได้รับซื้อและจดทะเบียนเป็นของจำเลยที่ ๒ และให้โจทก์เช่าซื้อไป
เหตุที่รถยนต์ถูกยึดไปและโจทก์ถูกรอนสิทธิไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่
๓ ที่ ๔ ให้การว่า นายชัยวัฒน์ กิตติเจริญพงษ์ ได้ร้องทุกข์ต่อผู้กำกับการ ๑
กองปราบปราม กรมตำรวจ ว่า นายชัยวัฒน์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๔ก-๕๐๓๐
กรุงเทพมหานคร นายสิทธิชัย ตันติสันติสุข ยักยอกรถยนต์ดังกล่าวไป
นายชัยวัฒน์ได้ร้องทุกข์ไว้แล้วและรถยนต์ดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ขอให้ดำเนินคดีกับนายสิทธิชัย จำเลยที่ ๓
ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวนสอบสวน แล้วต่อมาจำเลยที่ ๓
สืบสวนทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๓
จึงมีหนังสือถึงโจทก์ให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง
ต่อมาโจทก์ไปพบและนำรถยนต์ดังกล่าวไปมอบให้จำเลยที่ ๓
เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี จำเลยที่ ๓
จึงส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธร
อำเภอหัวหินซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ จำเลยที่ ๓
ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริต จำเลยที่ ๓ ที่ ๔
จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่
๒ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนางบุญมี ม่วงสกุล และนายสิทธิชัย ตันติสันติสุข
เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และให้เรียกนางบุญมี ม่วงสกุล
เป็นจำเลยที่ ๕ เรียกนายสิทธิชัย ตันติสันติสุข เป็นจำเลยที่ ๖
จำเลยที่
๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๕
มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้อง
เนื่องจากนายชัยสิทธิ์ได้ยืมเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐
บาทไปจากจำเลยที่ ๕ แล้วให้จำเลยที่ ๕ ไปรับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๕ จึงไปรับเงินจำนวนดังกล่า ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่
๖ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่
๒ ที่ ๕ และที่ ๖ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๒๐,๔๑๙.๙๑
บาท
พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามฟ้อง
จำเลยที่
๒ ที่ ๕ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๖ ร่วมกันชำระเงิน ๑๕๔,๕๔๔
บาทแก่โจทก์ และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายวันละ ๑๐๐ บาท
นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่
๒ และที่ ๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่
๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า
โจทก์ซื้อรถยนต์ยี่ห้อ บี.เอ็ม.ดับบลิว. หมายเลขทะเบียน ๔ก-๕๐๓๐ กรุงเทพมหานคร
ราคา ๑๖๐,๐๐๐ บาท จากจำเลยที่ ๑ และที่ ๖ ผู้ค้ารถยนต์ที่ตลาดนัดรถยนต์สามแยกไฟฉาย
โจทก์ได้มอบรถยนต์ของโจทก์ราคา ๕๐,๐๐๐ บาท เงินสดจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ชำระราคาแก่ผู้ขาย
และผู้ขายได้มอบรถยนต์ที่โจทก์ซื้อแก่โจทก์แล้ว ส่วนราคารถที่เหลืออีกเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ผู้ขายติดต่อให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒
ในราคาค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๑๒,๐๒๐ บาท
โดยให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อเดือนละงวด รวม ๓๐ งวดเป็นเงินเดือนละ ๓,๗๓๔ บาท โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยที่ ๒ แล้วรวม ๑๖ งวด ต่อมาจำเลยที่
๓ พนักงานสอบสวนแผนก ๒ กองกำกับการ ๑ กองปราบปรามซึ่งสังกัดกรมตำรวจ จำเลยที่ ๔
ได้ยึดรถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า
จำเลยที่ ๓
รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ซื้อรถยนต์ตามฟ้องโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๓๒ จำเลยที่ ๓ ไม่มีอำนาจหน้าที่ยึดรถยนต์ดังกล่าว การที่จำเลยที่ ๓
ยึดรถยนต์ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ จำเลยที่ ๓
อยู่ในสังกัดของกรมตำรวจ จำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๓ ที่ ๔
ต้องร่วมกันรับผิดตามฟ้องต่อโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า เนื่องจากนายชัยวัฒน์ร้องทุกข์ต่อกองปราบปราม
กรมตำรวจ ว่านายสิทธิชัยยักยอกรถยนต์ตามฟ้องซึ่งเป็นของนายชัยวัฒน์ไป
ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๘ พันตำรวจเอกสรศรี สุธีสร ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๓
สั่งให้จำเลยที่ ๓ พนักงานสอบสวนทำการสืบสวนสอบสวน จำเลยที่ ๓ จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายในการแสวงหาข้อเท็จจริง
พิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ การที่จำเลยที่ ๓
สืบสวนทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวซึ่งเป็นของนายชัยวัฒน์อยู่ในความครอบครองของโจทก์
จำเลยที่ ๓
ยึดรถยนต์ดังกล่าวไปเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ สำหรับฎีกาข้อสุดท้ายที่โจทก์ฎีกาว่า
ตามพฤติการณ์ที่โจทก์ซื้อรถยนต์ตามฟ้อง
โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒
จำเลยทุกคนต้องร่วมกันส่งมอบรถยนต์ตามฟ้องแก่โจทก์ หากส่งมองไม่ได้ต้องใช้ราคารถยนต์ดังกล่าวเป็นเงิน
๑๙๒,๐๒๐ บาท และชำระค่าเสียหายเป็นเงินวันละ ๒๐๐ บาท
ตามฟ้องแก่โจทก์นั้น เห็นว่ากรณีดังกล่าวประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒
หาได้บัญญัติให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ซื้อนั้นไม่
หากแต่บัญญัติว่าผู้ซื้อไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง
เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ดังนี้เมื่อเจ้าของติดตามรถยนต์ดังกล่าวคืน
โดยตำรวจยึดรถยนต์นั้นไปและศาลพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระราคาเพราะเหตุที่โจทก์ถูกรอนสิทธินั้นแล้ว
โจทก์จึงขอบังคับให้ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์อีกไม่ได้ อนึ่งโจทก์ซื้อรถยนต์ดังกล่าวโดยชำระราคาครั้งแรก
กับชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยที่ ๒ รวม ๑๖ งวด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓๔,๗๔๔ บาท โจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ ๓๐ งวด
ดังนี้โจทก์จะขอให้ชดใช้ราคารถยนต์จำนวน ๘๐,๐๐๐
บาทและค่าเช่าซื้อรวม ๓๐ งวด เป็นเงิน ๑๑๒,๐๒๐ บาท
รวมเป็นเงิน ๑๙๒,๐๒๐ บาทแก่โจทก์ทั้ง ๆ
ที่โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วเพียง ๑๖ งวดหาได้ไม่
โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชำระราคารถยนต์คืนเป็นเงิน ๑๓๙,๗๔๔
บาทเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๖
ชำระค่าเสียหายที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๔,๘๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘๓๙/๒๕๓๘
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2529จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันขายรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าคันหมายเลขทะเบียน 9จ-6478 กรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์ ในราคา 300,000 บาท จำเลยที่ 2
ได้ลงลายมือชื่อโอนทะเบียนรถให้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในฐานะสามีของจำเลยที่ 2ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2530 เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถจากโจทก์เพื่อคืนให้เจ้าของที่แท้จริง
เนื่องจากรถถูกโจรกรรมมาแล้วเปลี่ยนทะเบียนก่อนที่จะขายให้โจทก์
โจทก์ไม่อาจใช้รถได้ตามความประสงค์โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากการรอนสิทธิ
โดยจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันชดใช้ราคารถที่ได้รับไปจากโจทก์แล้วจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันที่ 22 เมษายน 2530เป็นต้นไป
ซึ่งขอคิดถึงวันฟ้องเพียง 10 เดือน
เป็นเงิน18,750 บาท
โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วก็เพิกเฉยจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน318,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 300,000 บาท
นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2ขายรถคันพิพาทให้โจทก์และไม่ได้รับเงินค่าราคารถจากโจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากมิได้กล่าวอ้างโดยชัดแจ้งว่าการที่จำเลยที่
1
ลงลายมือชื่อยินยอมให้โอนรถเป็นเหตุให้ต้องร่วมรับผิดอย่างไร
ปรากฏภายหลังว่ารถถูกลักมา ดังนั้นการซื้อขายจึงเป็นโมฆะ ความยินยอมของจำเลยที่ 1 จึงใช้ไม่ได้ การซื้อขายรถมิใช่หนี้ร่วมที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ขายรถคันพิพาทให้โจทก์ในราคา 300,000 บาท ตั้งแต่วันที่3 มิถุนายน 2529
และโจทก์ได้รับรถไปแล้วในวันดังกล่าวโจทก์ใช้ประโยชน์ในรถจนถึงวันที่ถูกยึดคืนเป็นเวลา323 วัน โดยอาจนำออกให้เช่าได้วันละ 1,500 บาทคิดเป็นเงินจำนวน 484,500 บาท
คุ้มกับจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องแล้ว จำเลยที่ 2 ซื้อรถมาจากนายธงชัย ศรีจั่นแก้วโดยไม่ทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักมา
ทั้งได้ตรวจสอบใบคู่มือการจดทะเบียนรถแล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ทราบว่าเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากนางสาววิไล
เนื่องจำนงค์ได้นำเอกสารหลักฐานปลอมไปแสดงต่อเจ้าพนักงานกองทะเบียนยานพาหนะจังหวัดชลบุรีขอจดทะเบียนรถและเพราะความประมาทเลินเล่อของพันตำรวจโทชัยวัฒน์ชำนาญพูด
ร้อยตำรวจเอกโอภาส ยศปิยะเสถียรและนายดาบตำรวจสุพจน์ วงศ์ธนู
ได้ออกใบคู่มือการจดทะเบียนรถให้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเป็นการร่วมกันทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ราชการซึ่งกรมตำรวจต้องร่วมรับผิดด้วย
ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายธงชัย ศรีจั่นแก้วนางสาววิไล
เนื่องจำนงค์ พันตำรวจโทชัยวัฒน์ ชำนาญพูดร้อยตำรวจเอกโอภาส ยศปิยะเสถียร
นายดาบตำรวจสุพจน์ วงศ์ธนูและกรมตำรวจเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 6 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 2 ไม่เคยเป็นเจ้าของรถคันพิพาท และไม่เคยนำไปขายให้จำเลยที่ 1ใบคู่มือการจดทะเบียนเป็นของปลอมเหตุที่มีชื่อของจำเลยร่วมที่ 2 เนื่องจากมีบุคคลอื่นร่วมทำขึ้นหรือจำเลยร่วมที่ 1ร่วมกับบุคคลอื่นทำขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในมูลคดีผิดสัญญาซื้อขาย แต่จำเลยที่ 2ให้การว่าจำเลยร่วมที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 กระทำโดยประมาทอันเป็นมูลคดีเรื่องละเมิดซึ่งต่างกัน
จำเลยที่ 2จึงชอบที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ จำเลยร่วมที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ได้รับจดทะเบียนรถคันพิพาทให้แก่จำเลยร่วมที่
2ด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดกล่าวคือ
สภาพของรถอยู่ในสภาพใหม่ ไม่มีร่องรอยเปลี่ยนแปลง
แก้ไขหรือขูดลบดัดแปลงหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังตลอดจนเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องก็ไม่มีข้อพิรุธน่าสงสัยว่าจะเป็นเอกสารปลอมต่อมาจำเลยร่วมที่
2ได้จดทะเบียนโอนรถให้แก่จำเลยร่วมที่ 1 แล้ว จำเลยร่วมที่ 1ได้แจ้งย้ายรถไปใช้ที่กรุงเทพมหานคร
จำเลยร่วมที่ 3 ตรวจสอบพบว่าเอกสารหลักฐานของจำเลยร่วมที่ 2 เป็นเอกสารปลอมและรถถูกลักมา จึงได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยร่วมที่ 2ทั้งแจ้งให้นายทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานครทราบเพื่อให้ระงับการทำนิติกรรมและให้ยึดรถให้ยึดรถไว้ตรวจสอบโจทก์และจำเลยที่
2 ไม่มีหลักฐานการซื้อขายรถและตามใบคู่มือการจดทะเบียนก็ไม่ปรากฏว่ามีชื่อโจทก์หรือจำเลยที่
2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
หากจำเลยที่ 2 นำใบคู่มือการจดทะเบียนไปตรวจสอบจริงก็
ย่อมจะต้องทราบว่ารถถูกลักมาหากจำเลยที่ 2ซื้อรถจากจำเลยร่วมที่ 1
แล้วก็ชอบที่จะนำรถไปจดทะเบียนโอนภายใน 15 วัน
ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็จะต้องทราบว่ารถถูกลักมาการที่จำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายจึงเกิดความประมาทเลินเล่อ
หากโจทก์ซื้อรถจากจำเลยที่ 2
โดยตรวจดูใบคู่มือการจดทะเบียนเสียก่อนว่าจำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ก็จะทราบว่ารถถูกลักมา กรณีจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์
ราคาซื้อขายรถระหว่างจำเลยร่วมที่ 2
กับจำเลยร่วมที่ 1 เป็นเงิน 250,000
บาทดังนั้นราคารถในขณะที่ถูกยึดย่อมมีราคาน้อยลงเนื่องจากใช้มานายย่อมเสื่อมสภาพลงจึงมีราคาไม่เกิน
50,000 บาทและโจทก์ใช้รถเพื่อประโยชน์มาตลอด จึงไม่มีค่าเสียหายจากการรอนสิทธิ
ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 6 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ
ใช้ความละเมิดรอบคอบระมัดระวังมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด
ทั้งปริมาณงานที่แผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดชลบุรีมีมากในแต่ละวันเมื่อตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารก็ได้แจ้งให้นายทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานครทราบแล้ว
การซื้อขายรถนี้หากจำเลยทั้งสองหรือโจทก์ไปดำเนินการทางทะเบียนโอน
จดทะเบียนโอนที่แผนกทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานคร
ก็ย่อมจะทราบว่ารถคันพิพาทเป็นรถที่จำเลยที่ 2 ได้มาโดยไม่ชอบโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในรถแล้วเป็นเวลา 323 วันรถมีอายุใช้งานประมาณ 1 ปีเศษแล้ว
ย่อมเสื่อมสภาพหากโจทก์ขายรถก็จะได้เงินไม่เกินจำนวน 80,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 250,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 2 ถึงที่ 6
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ได้ซื้อรถคันพิพาทไปจากจำเลยทั้งสองในราคา 300,000 บาทโดยไม่ทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักมาและมีใบคู่มือการจดทะเบียนปลอมมาก่อน
ต่อมาเจ้าพนักงานได้ตรวจพบว่าใบคู่มือการจดทะเบียนของรถคันพิพาทเป็นเอกสารปลอมตามเอกสารหมาย
จ.1
จึงมีการยึดรถคันพิพาทไปจากโจทก์เพื่อคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า
จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันใช้ราคารถคันพิพาทให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475
บัญญัติว่า"หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข
เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี
เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น" และมาตรา 479 บัญญัติว่า
"ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
เพราะเหตุการรอนสิทธิก็ดี ฯลฯ ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด"
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ในฐานะผู้ซื้อรถคันพิพาทถูกรอนสิทธิเพราะเจ้าของรถคันพิพาทมีสิทธิเหนือรถคันพิพาทในขณะที่มีการซื้อขาย
ดังนั้นจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ขายต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ถูกรอนสิทธิโดยชดใช้ราคารถคันพิพาทแก่โจทก์ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า
จำเลยมีสิทธิหักเงินที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทจากโจทก์ด้วยนั้นเห็นว่า
การที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทนั้นมิใช่เป็นค่าหรือราคารถคันพิพาทที่จำเลยจะต้องส่งคืนดังนั้น
จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักกับราคาของรถคันพิพาทได้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่าความเสียหายอันเกิดแต่การรอนสิทธินั้น
โจทก์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้นโจทก์จึงต้องรับผิดในจำนวนค่าเสียหายกึ่งหนึ่งด้วยนั้น
เห็นว่าในปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในศาลชั้นต้น
แม้จำเลยทั้งสองจะได้อุทธรณ์ในข้อนี้มาด้วยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปมีว่าจำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 6
กระทำโดยประมาทเลินเล่อจึงต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
ขณะเกิดเหตุจำเลยร่วมที่ 3เป็นนายทะเบียนยานพาหนะประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี
จำเลยร่วมที่ 4 เป็นผู้ช่วยนายทะเบียนและจำเลยร่วมที่ 5
ได้รับมอบหมายให้รวบรวมรายได้ค่าภาษีและค่าธรรมเนียมของงานทะเบียนยานพาหนะจำเลยร่วมที่
6
เป็นส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2529จำเลยร่วมที่ 3
ในฐานะนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดชลบุรีได้แจ้งต่อนายทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานครว่าใบคู่มือการจดทะเบียนรถคันพิพาทตามเอกสารหมาย
จ.1เป็นเอกสารปลอม ให้ระงับการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงใด ๆ
และให้อายัดรถคันพิพาทไว้ ดังปรากฏตามเอกสารหมายล.2 และ ล.3 ต่อมาปรากฏว่าวันที่ 3 มิถุนายน 2529จำเลยทั้งสองได้ตกลงขายรถคันพิพาทให้โจทก์ จากการนำสืบพยานหลักฐานของ
จำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 6
ได้ความว่าการจดทะเบียนและการออกใบคู่มือการจดทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.1 นั้นจำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5
ได้ดำเนินการไปตามอำนาจและหน้าที่ดังที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจไว้และได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการทุกประการโดยเฉพาะได้กระทำไปโดยสุจริต
หลังจากที่ทราบว่าใบคู่มือการจดทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.1
เป็นเอกสารปลอมแล้วก็รีบแจ้งต่อนายทะเบียนยานพาหนะที่เกี่ยวข้องทราบและอายัดรถคันพิพาททันที
เกิดเหตุแล้วได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งในที่สุดคณะกรรมการที่สอบสวนข้อเท็จจริงมีความเห็นต้องกันว่า
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทะเบียนยานพาหนะจังหวัดชลบุรีที่เกี่ยวข้องทุกคนได้ดำเนินการไปโดยชอบและสุจริตแล้ว
และมิได้กระทำไปโดยความประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.31 ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองนั้นคงนำสืบลอย ๆ ว่า จำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำการโดยประมาทเลินเล่อเท่านั้น
ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างใดเห็นว่า
พยานจำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 6มีน้ำหนักดีกว่า
ฟังได้ว่า จำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่อ
กรณีเช่นนี้น่าจะเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองและโจทก์ที่ควรจะต้องไปตรวจสอบพยานหลักฐานทางทะเบียนของรถคันพิพาทก่อนที่จะมีการซื้อขายกันตามวิสัยของวิญญูชนทั่ว
ๆ ไปพึงจะกระทำกันประการสำคัญโจทก์ได้ซื้อ รถคันพิพาท หลังจากที่ได้มีการแจ้งอายัดจากจำเลยร่วมที่
3 แล้ว
ซึ่งหากโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ไปจดทะเบียนโอนกันตามกฎหมายแล้วก็จะทราบทันทีว่าใบคู่มือการจดทะเบียนตามเอกสารหมาย
จ.1
เป็นเอกสารปลอมความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสองมากกว่า
ดังนั้น จำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5ตลอดจนจำเลยร่วมที่ 6
ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จำเลยร่วมที่ 3 ถึงที่ 5 สังกัดอยู่จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยทั้งสองด้วยแต่ประการใด
พิพากษายืน
(ชัยนาท พันตาวงศ์-สะสม สิริเจริญสุข-สมชัย สายเชื้อ)
คำพิพากษาฎีกาที่ 981/2523
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยต้องรับผิดในการที่โจทก์ถูกรอนสิทธิโดยต้องชำระราคารถพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน 43,900 บาทให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันและจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้าน คงรับฟังได้ว่า โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดราชายนต์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลย เป็นการซื้อโดยสุจริตในท้องตลาดจากพ่อค้าซึ่งขายรถยนต์ โดยในขณะที่ซื้อโจทก์ไม่รู้ว่าเป็นรถที่ถูกคนร้ายลักมา ต่อมาความปรากฏว่ารถยนต์พิพาทเป็นของนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ นายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ ได้ไปแจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกคนร้ายลักไป พนักงานสอบสวนจึงยึดเอาไว้เป็นของกลางในคดีนั้น และไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ตามฎีกาของจำเลย มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยจะต้องรับผิดในการรอนสิทธิหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าการที่เจ้าพนักงานยึดรถยนต์พิพาทไปตามอำนาจหน้าที่เพราะเป็นหลักฐานประกอบคดี มิใช่เพราะเจ้าพนักงานมีสิทธิเหนือรถนั้น ไม่เป็นการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 หรือมาตรา 479 จำเลยไม่ต้องรับผิด และโจทก์ได้รับความคุมครองตามมาตรา 1332 อยู่แล้ว โดยมีสิทธิเรียกรถยนต์พิพาทคืนจากพนักงานสอบสวน และไม่จำต้องคืนให้แก่นายทรงเกียรติ ศิริปียะวัฒน์ เว้นแต่นายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ จะชดใช้ราคา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยรับผิดเรื่องการรอนสิทธิอีก ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่รถยนต์พิพาทถูกพนักงานสอบสวนยึดเอาไปเป็นของกลางในคดีอาญาและไม่ยอมคืนให้โจทก์ เนื่องจากเป็นรถของนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ และนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ ได้ไปแจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกคนร้ายลักไป ตามพฤติการณ์ย่อมฟังได้ว่านายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทอันแท้จริงมาก่อนการรบกวนข้อสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อในอัน จะใช้สอยหรือครอบครองรถยนต์พิพาทโดยปกติสุข เพราะนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ มีสิทธิเหนือรถยนต์พิพาทอยู่ในเวลาที่ซื้อขายกัน ถึงแม้โจทก์จะเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตจากมาตรา 1332 ซึ่งมีสิทธิไม่จำต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่นายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ เว้นแต่นายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ จะชดใช้ราคาที่ซื้อมา แต่วัตถุประสงค์ของโจทก์ในการซื้อรถยนต์พิพาทก็เพื่อจะได้มาเป็นกรรมสิทธิ์หาใช่เพื่อรับชดใช้ราคาคืนไม่ ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 ก็มิได้บัญญัติว่าผู้ซื้อรถยนต์โดยสุจริตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ไม่อยู่ในฐานะที่จะถูกรอนสิทธิ ดังนั้นเมื่อนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ เจ้าของแท้จริงมารบกวนขัดสิทธิโจทก์ผู้ซื้อตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงถือได้ว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ จำเลยผู้ขายมีหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งการรอนสิทธินั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 และเมื่อปรากฏว่าพนักงานสอบสวนยึดเอารถยนต์พิพาทไป ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์เพราะเป็นของนายทรงเกียรติ ศิริปิยะวัฒน์ ซึ่งถูกคนร้ายลักไป กรณีจึงเห็นได้ว่ารถยนต์พิพาทได้หลุดไปจากโจทก์ผู้ซื้อ จำเลยผู้ขายต้องรับผิดชำระราคารถยนต์พิพาทคืนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 479 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่าโจทก์ปล่อยให้รถยนต์พิพาทหลุดพ้นไปจากตนโดยมิได้เรียกคืนก่อนตามสิทธิ จึงเป็นการที่สิทธิของโจทก์ได้สูญไปเพราะความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 482 (1)นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีเรื่องนี้ฟังได้ว่า พนักงานสอบสวนได้ยึดเอารถยนต์พิพาทไปเป็นของกลางในคดีอาญาเอง และโจทก์ก็ได้มีหนังสือขอคืนแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่ยอมคืนให้ หาใช่ว่าโจทก์ทำให้รถยนต์พิพาทหลุดไปจากโจทก์หรือทำให้สิทธิของโจทก์สูญไปโดยความผิดของโจทก์เองไม่"
พิพากษายืน
(แต่ง ทองภักดี
- สมชัย ทรัพย์วณิช
- เฟื่องขจิต รัศมิภูติ)