การบรรยายฟ้องคดีลิขสิทธิ์ที่ผิดพลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2553
พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร โจทก์
นายจิรวัฒน์ สนิทมาก จำเลย
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 29, 31, 70 วรรคหนึ่ง, 70 วรรคสอง
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ.2539 มาตรา 26
ป.วิ.อ. มาตรา 158(5)
การกระทำความผิดตาม
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 29 ต้องเป็นการกระทำแก่งานแพร่เสียงแพร่ภาพ ซึ่งหมายถึงงานที่นำออกสู่สาธารณชนโดยการแพร่เสียงทางวิทยุกระจายเสียง
การแพร่เสียงและหรือภาพทางวิทยุโทรทัศน์ หรือโดยวิธีอย่างอื่นอันคล้ายคลึงกัน
ตามบทนิยามในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31
ต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร”
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยนำเพลงที่บันทึกในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยละเมิดลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ขาย เสนอขาย มีไว้เพื่อขาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าก็ตาม แต่การกระทำ
“เพื่อการค้า” กับการกระทำ“เพื่อหากำไร” มีความหมายแตกต่างกันได้
ดังจะเห็นได้จากการที่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง บัญญัติให้การละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 31
เพื่อการค้า ต้องระวางโทษหนักกว่าการกระทำเพื่อหากำไรตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง
ทั้งตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะหากำไรโดยตรงจากการนำเพลงดังกล่าวออกแพร่เสียง
จึงเป็นคำฟ้องที่บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตาม
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31
ไม่ครบถ้วนไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ.
มาตรา 158 (5) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 5, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 31, 69, 75, 76
ริบของกลาง และให้จ่ายค่าปรับตามคำพิพากษาแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงฟังยุติ นายสงวนศักดิ์ ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากผู้เสียหาย
นำเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นร้านเมมโมรี่คอมพิวเตอร์ ซึ่งเปิดให้ลูกค้าใช้บริการอินเทอร์เน็ตและเกม
โดยมีจำเลยเป็นผู้ควบคุมดูแล พบข้อมูลเพลงเอ็มพี 3 ซึ่งมีงานเพลงที่ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
บันทึกอยู่ในหน่วยประมวลผลกลางของเครื่องคอมพิวเตอร์ 9
เครื่อง ภายในร้าน
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า
ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า และยึดหน่วยประมวลผลกลางของเครื่องคอมพิวเตอร์
9 เครื่อง จอมอนิเตอร์ 1 จอ
แผงแป้นอักขระ 1 แผง และเม้าส์ 1 อัน
เป็นของกลาง นำส่งเจ้าพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์
จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยกระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่เสียงแพร่ภาพตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 มาตรา 29 นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยนำเพลงที่บันทึกในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกแพร่เสียงซ้ำ
และจัดให้ประชาชนฟัง โดยเรียกเก็บเงินหรือผลประโยชน์อื่นทางการค้าจากบุคคลทั่วไป
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้
ต้องเป็นการกระทำแก่งานลิขสิทธิ์ประเภทงานแพร่เสียงแพร่ภาพ
ซึ่งหมายความถึงงานที่นำออกสู่สาธารณชนโดยการแพร่เสียงทางวิทยุกระจายเสียง
การแพร่เสียงและหรือภาพทางวิทยุโทรทัศน์
หรือโดยวิธีอย่างอื่นอันคล้ายคลึงกันตามบทนิยามในมาตรา 4แต่คำฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่า
ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานดนตรีกรรมกับสิ่งบันทึกเสียงเท่านั้น
โดยไม่ได้กล่าวว่าเพลงที่บันทึกในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายเป็นงานแพร่เสียงแพร่ภาพ
การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในส่วนนี้ ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 29
ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้
ส่วนที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยกระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 มาตรา 31 บัญญัติว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...”
นั้นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
“เพื่อหากำไร” เท่านั้น แม้โจทก์บรรยายในฟ้องว่า
จำเลยนำเพลงซึ่งบันทึกลงในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ขาย เสนอขาย มีไว้เพื่อขาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าก็ตาม แต่การกระทำ
“เพื่อการค้า” กับการกระทำ “เพื่อหากำไร” มีความหมายแตกต่างกันได้ ดังจะเห็นได้จากการที่มาตรา
70 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 31 เพื่อการค้า ต้องระวางโทษหนักกว่าการกระทำเพื่อหากำไรตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง
ทั้งตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะหากำไรโดยตรงจากการนำเพลงออกแพร่เสียง
เป็นคำฟ้องที่บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 มาตรา 31 ไม่ครบถ้วน
ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ.2539 มาตรา 26
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 45
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไป
จำเลยกระทำความผิดฐานทำซ้ำดัดแปลงงานดนตรีกรรมและสิ่งบันทึกเสียงตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 มาตรา 27 และ 28 หรือไม่
เห็นว่า แม้โจทก์มีนายสงวนศักดิ์ ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากผู้เสียหาย
กับสิบตำรวจเอกอนุสรณ์เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านพร้อมกับนายสงวนศักดิ์มาเบิกความ
ผลการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในร้านพบว่ามีเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายบันทึกอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานเพลง
แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบยืนยัน
จำเลยเป็นผู้ทำซ้ำหรือดัดแปลงข้อมูลเพลงของผู้เสียหายโดยนำสิ่งบันทึกเสียงแผ่นซีดีรอมเอ็มพี
3
ซึ่งบันทึกเพลงอันเป็นงานลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายมาบันทึกลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้ดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ของกลาง แต่ปรากฏว่าร้านเป็นของนายวุฒินันท์
ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่า
จำเลยเป็นผู้ทำซ้ำดัดแปลงงานดนตรีกรรมและสิ่งบันทึกเสียงอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายจริงตามฟ้องหรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ.2539 มาตรา 45
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
( สมควร
วิเชียรวรรณ - อร่าม เสนามนตรี - ไมตรี ศรีอรุณ )
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
- นายอภิชาติ เทพหนู