การศึกษาหรือวิจัยอันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
การศึกษาหรือวิจัยอันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
วัส ติงสมิตร
ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเริ่มมีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
มีการละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างกว้างขวางทั้งรายใหญ่และรายเล็ก เมื่อมีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น
ข้อต่อสู้ประการหนึ่งที่สังคมไทยเริ่มนำมาใช้ก็คือการกระทำนั้นเป็นการศึกษา
หรือวิจัยอันเข้าข่ายข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ทำนองข้ออ้างการใช้ที่เป็น ธรรม (fair
use) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัญหาเรื่องข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวกับการศึกษาหรือวิจัยจึง
เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
1.
เหตุผลของการยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
เหตุที่กฎหมายในแต่ละประเทศได้บัญญัติให้มีข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
ไว้ก็เพื่อให้สิทธิแต่ผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์และประโยชน์ของสังคม
สามารถจะคงอยู่คู่กันไปได้
เป็นการรักษาความสมดุลระหว่างสิทธิของผู้สร้างสรรค์งานและประโยชน์ของสังคม
ที่จะได้รับจากงานที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น
อันเป็นการลดความเข้มข้นของเจ้าของสิทธิแต่ผู้เดียวลงมาจนอยู่ในระดับที่
เจ้าของลิขสิทธิ์และสังคมต่างก็ได้รับประโยชน์จากงานสร้างสรรค์อันมี
ลิขสิทธิ์ร่วมกัน และกระตุ้นให้มีการสร้างสรรค์งานต่อไป เป้าหมายสุดท้าย
(ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย)
ของการคุ้มครองลิขสิทธิ์คือการกระจายผลงานสร้างสรรค์ไปสู่สาธารณชนให้มากที่ สุด
หาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้สร้างสรรค์แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่(1)
สำหรับหลักเกณฑ์ของข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
ย่อมแตกต่างแปรผันไปตามสภาพของเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
แนวความคิดและวิถีชีวิตของแต่ละประเทศ
แม้ในประเทศเดียวกันแต่อยู่ในกาลเวลาที่ต่างกัน ก็อาจมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันได้
2.
ประเทศสหรัฐอเมริกา
กฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกามีการจำกัดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้า
ของลิขสิทธิ์ โดยนำหลักการใช้ที่เป็นธรรม (fair use) มาเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
หลักการใช้ที่เป็นธรรมเป็นข้อต่อสู้ที่กำเนิดจากคำพิพากษาของศาลที่ยอมให้มี
การใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
ลิขสิทธิ์หากเป็นการใช้ในลักษณะที่มีเหตุผล (reasonable manner) แม้ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาจะบัญญัติหลักเกณฑ์นี้ไว้ในกฎหมายลิขสิทธิ์ปี 1976
ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
หลักการใช้ที่เป็นธรรมยังคงนำมาใช้ในกรณีที่หากวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเป็น
การละเมิดลิขสิทธิ์แล้วจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมหรือเป็นการทำลายความ
ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปวิทยาการที่มีประโยชน์(2)
กฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาบัญญัติหลักการใช้ที่เป็นธรรมอยู่ใน
มาตรา 107 ซึ่งกล่าวนำถึงชนิดของการกระทำต่างๆที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้
แล้วตามด้วยองค์ประกอบ 4 ข้อ คือ
(1)
วัตถุประสงค์และลักษณะของการใช้
รวมทั้งการพิจารณาว่าการใช้ดังกล่าวเป็นการใช้เพื่อการค้าหรือเพื่อการศึกษา
ที่ไม่ได้แสวงหากำไร(3)
(2)
ลักษณะของงานอันมีลิขสิทธิ์ (4)
(3)
ปริมาณและสัดส่วนของงานที่ใช้เมื่อเปรียบเทียบกับงานอันมีลิขสิทธิ์ทั้งหมด และ(5)
(4)
ความโน้มเอียงของการกระทบต่อตลาดเกี่ยวกับมูลค่าของงานอันมีลิขสิทธิ์(6)
การกระทำที่เข้าองค์ประกอบดังกล่าวทั้ง
4 ข้อ จึงจะเข้าข่ายการใช้ที่เป็นธรรม โดยเหตุนี้หลักการใช้ที่เป็นธรรมตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายจึงแตกต่างจากแนว
ปฏิบัติที่มีอยู่ในอดีต
สำหรับองค์ประกอบข้อแรกที่เน้นการใช้เพื่อการค้าหรือเพื่อการศึกษาที่
ไม่ได้แสวงหากำไรมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับองค์ประกอบข้อ 4
ที่ให้พิจารณาผลกระทบของการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ หากเป็นการใช้เพื่อการศึกษาที่ไม่ได้แสวงหากำไรแล้วจะมีโอกาสเข้าข่ายการใช้
ที่เป็นธรรมมาก
เพราะการใช้เพื่อการศึกษาที่ไม่ได้แสวงหากำไรจะมีผลกระทบต่อตลาดน้อยกว่าการ
ใช้เพื่อการค้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีวัตถุประสงค์สุดท้ายเพื่อการศึกษาก็ตาม
การกระทำนั้นอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำเพื่อการค้าก็ได้ หากมีการแสวงหากำไรด้วย
อนึ่ง การพิจารณาองค์ประกอบข้อแรกนี้
ศาลจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการใช้มากกว่าพิจารณาว่าเป็นการใช้เพื่อการ
ค้าหรือเพื่อการศึกษาที่ไม่ได้แสวงหากำไร เช่น หากเป็นการใช้โดยไม่สุจริต
จะมีโอกาสเป็นการใช้ที่เป็นธรรมน้อย เพราะการใช้ที่เป็นธรรมในเบื้องต้นจะต้องเป็นการใช้ที่สุจริตและเป็นธรรม(7)
องค์ประกอบของการใช้ที่เป็นธรรมข้อ
2 มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มพูนภูมิปัญญาของมนุษย์
ดังนั้นการใช้งานสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร เช่น วิทยาศาสตร์
ประวัติบุคคล หรือประวัติศาสตร์ จะมีโอกาสเป็นการใช้ที่เป็นธรรมได้กว้างขวางกว่างานประเภทอื่น
ในกรณีที่งานสร้างสรรค์ไม่มีขายหรือไม่ได้พิมพ์อีกแล้ว
การใช้ที่เป็นธรรมจากงานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้กว้างขวางกว่าเช่นเดียวกัน(8)
องค์ประกอบของการใช้ที่เป็นธรรมข้อ
3 เน้นปริมาณที่จำเลยนำงานอันมีลิขสิทธิ์ไปใช้เกิน สมควรหรือไม่
แต่จะพิจารณาปัญญานี้ก็ต่อเมื่อโจทก์พิสูจน์ได้แล้วว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์
ของโจทก์แล้ว กล่าวคือ
มีการคัดลอกงานสร้างสรรค์ของโจทก์ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญแล้ว
การคัดลอกงานสร้างสรรค์คำต่อคำย่อมถือว่าเป็นการเกินสมควรของการใช้ที่เป็น ธรรม
ในการวิจารณ์งานวรรณกรรม ไม่สามารถจะคัดลอกงานเดิมมาถึง 2 หน้า แต่การคัดลอกมา 2
บรรทัด ถือว่าพอสมควร อนึ่ง แม้จะคัดลอกมาเพียงเล็กน้อย
แต่เป็นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของงาน
ก็จะอ้างหลักการใช้ที่เป็นธรรมเพื่อให้พ้นผิดไม่ได้ การคัดลอกคำ 300 คำ จาก
200,000 คำ ในหนังสือของโจทก์ถือว่าเกินสมควร หากเป็นคำที่เป็นหัวใจของงานนั้น(9)
องค์ประกอบของการใช้ที่เป็นธรรมข้อ
4 เป็นข้อที่สำคัญที่สุด
เพราะหากตลาดของงานของเจ้าของลิขสิทธิ์ถูกกระทบกระเทือนก็จะขาดแรงจูงใจใน
การสร้างสรรค์งาน องค์ประกอบข้อนี้พิจารณาเฉพาะแนวโน้มของการกระทบกระเทือนเท่านั้น
ไม่ต้องพิจารณาถึงการกระทบกระเทือนอย่างแท้จริง
โจทก์จึงมีหน้าที่พิสูจน์เพียงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเท่า นั้น(10)
สำหรับข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ของบรรณารักษ์ในห้องสมุดนั้นมี
บัญญัติอยู่ในมาตรา 108 ของกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาปี 1976
ซึ่งกำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ข้อ คือ ทำซ้ำได้เพียง 1 ชุด
และจะต้องไม่มีวัตถุประสงค์ทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อประโยชน์ทางการค้า
การทำซ้ำของบรรณารักษ์จะต้องเป็นไปเพื่อสงวนรักษาหรือความปลอดภัย
และอาจทำซ้ำเพื่อทดแทนงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ชำรุดหรือสูญหายโดยไม่สามารถจะหา
ซื้อมาใหม่ในราคาที่เป็นธรรมได้ อนึ่ง
บรรณารักษ์สามารถจะทำซ้ำงานสร้างสรรค์ทั้งเล่ม (an entire
work) แก่ผู้มาใช้ห้องสมุดได้
ถ้าบรรณารักษ์ได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วว่างานสร้างสรรค์นั้นไม่สามารถจะหา
ซื้อมาได้ในราคาที่เป็นธรรม(11)
โดยที่กฎหมายเกี่ยวกับข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ในการใช้งานในชั้น
เรียนมีข้อสงสัยว่าจะสามารถทำซ้ำได้หลายชุด (multiple copies) หรือไม่ กลุ่มนักการศึกษา ผู้สร้างสรรค์
และผู้พิมพ์โฆษณาจึงตกลงกันออกข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ(Guidelines)ใน การทำซ้ำเพื่อใช้ในชั้นเรียนในสถาบันการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร
แนวทางปฏิบัติดังกล่าวไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกฎหมายลิขสิทธิ์ปี 1976 แต่รวมอยู่ใน House
Report หลักเกณฑ์ตามแนวปฏิบัตินี้มีอยู่หลายข้อด้วยกัน
ในส่วนของปริมาณของงานที่จะนำมาใช้ได้นั้น หากเป็นบทความจะต้องน้อยกว่า 2,500 คำ
หรือการตัดทอนงานร้อยแก้วมาไม่เกินกว่า 1,000 คำ หรือ 10% ของงานทั้งหมด(12)
3.
ประเทศอังกฤษ
กฎหมายลิขสิทธิ์ของอังกฤษปี
1988 บัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเรียกว่า การปฏิบัติที่เป็นธรรม (fair
dealing) คำว่า ปฏิบัติ (dealing) มีความหมายกว้างกว่าคำว่า
ใช้ (use) เพราะการคัดลอกงานของผู้อื่นในห้องส่วนตัวในบ้านของตนอาจถือว่าเป็นการ
ปฏิบัติที่เป็นธรรมได้ แม้จะไม่มีใครอื่นเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม
รัฐบาลอังกฤษคัดค้านความพยายามที่จะเปลี่ยนคำว่า
การปฏิบัติที่เป็นธรรมไปเป็นการใช้ที่เป็นธรรม (fair use) ของสหรัฐอเมริกา
เพราะว่าความหมายของคำว่าการปฏิบัติที่เป็นธรรมในประเทศอังกฤษเป็นที่เข้าใจ
เป็นอย่างดีแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ในหมู่ของนักกฎหมายด้วยกัน(13)
การอ้างหลักการปฏิบัติที่เป็นธรรมมีได้ใน
3 กรณีด้วยกันคือ
1)
การวิจัยหรือศึกษาส่วนบุคคล
2)
การวิจารณ์หรือประเมินผล
3) การรายงานเหตุการณ์ประจำวัน
หลักเกณฑ์ทั้ง
๓ หลักดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์ลอยๆ ไม่ได้กำหนดองค์ประกอบอื่น (อีก 4 ข้อ)
เหมือนอย่างกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา
มีความพยายามที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ทั่วไปไว้ว่า
การกระทำจะต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานนั้นตามปกติ และไม่กระทบกระเทือนถึงประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร(14)
ตามที่แนะนำไว้ใน Whitford Report เหมือนกัน
แต่รัฐบาลอังกฤษเห็นว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าวกว้างและไม่กระชับมากเกินไป(15)
ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวใช้เฉพาะกับงานวรรณกรรม
นาฏกรรม ดนตรีกรรม และศิลปกรรมเท่านั้น ไม่รวมสิ่งบันทึกเสียง ภาพยนตร์
และงานแพร่เสียงแพร่ภาพด้วย
กฎหมายไม่ได้ให้บทนิยามของคำว่า
การศึกษาส่วนบุคคลไว้
แต่ตามแนวคำพิพากษาของศาลผู้ที่จะอ้างการศึกษาส่วนบุคคลได้จะต้องเป็นบุคคล
ที่ศึกษานั้นเอง ไม่ใช่ผู้พิมพ์โฆษณา(16)
กฎหมายเดิมมีความไม่แน่ชัดว่าการอ้างการปฏิบัติที่เป็นธรรมจะสามารถอ้าง
โดยผู้ที่กระทำในนามหรือตามคำร้องขอของผู้ที่ทำการวิจัยหรือศึกษาส่วนบุคคล
ได้หรือไม่ แต่กฎหมายปัจจุบัน (มาตรา 29(3)) ได้บัญญัติไว้ชัดเจนแล้วว่า
สามารถกระทำแทนได้ เช่น ครู หรือ อาจารย์ ซึ่งใช้เครื่องถ่ายเอกสารถ่ายสำเนาเอกสารจากบทความในวารสารในนามของนักศึกษา
แต่ละคนได้ อย่างไรก็ตาม
การปฏิบัติที่เป็นธรรมดังกล่าวจำกัดไว้เฉพาะการทำซ้ำเพียงชุดเดียว (single
copy) ไม่ใช่หลายชุด (multiple copies)(17)
ทั้งครู บรรณารักษ์ และนักศึกษาจะถ่ายเอกสารเผื่อนักศึกษาหรือในนามของนักศึกษาทั้งกลุ่มไม่
ได้(18)
ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ
จะสามารถนำงานนั้นไปใช้ในปริมาณเท่าใดจึงจะไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ผู้สร้างสรรค์และผู้พิมพ์โฆษณามักจะประสงค์ให้ใช้ในปริมาณที่ต่ำหรือจำกัด
จำนวนคำไว้ เช่น 10% หรือ 4,000 ถึง 8,000 คำ แต่สำหรับผู้ที่ทำวิจัยหรือศึกษาส่วนบุคคลคงต้องการใช้มากกว่านั้น
จำนวนสัดส่วนหรือปริมาณที่จะนำไปใช้ได้จึงขึ้นอยู่กับความหมายที่เปิด
กว้างไว้ดังคำว่า "การใช้ที่เป็นธรรม" ซึ่งมีความยืดหยุ่นพอสมควร
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับปัญหาว่าการนำงานไป
ใช้จะกระทบกระเทือนต่อยอดขายที่เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถคาดหวังไว้หรือ ไม่(19)
ในส่วนประเด็นการวิจัยนั้นเป็นปัญหาที่โต้เถียงกันตั้งแต่ชั้นพิจารณา
ร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรแล้วว่า
การวิจัยที่จะถือว่าเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์จะรวมถึงการวิจัยในเชิง พาณิชย์หรือไม่
ในที่สุดจึงคงคำว่า "การวิจัย"
ไว้ลอยๆโดยไม่ได้ขยายความว่าจะมีความหมายรวมถึงการวิจัยในเชิงพาณิชย์หรือ
ไม่ดังกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับเดิมปี 1956(20)
ปัญหาการถ่ายเอกสาร
โดยที่เครื่องถ่ายเอกสารได้พัฒนาจนถึงระดับที่สามารถหาซื้อมาเพื่อใช้งานใน
ราคาถูกและมีประสิทธิภาพในการถ่ายเอกสารสูง
และในอนาคตแต่ละครัวเรือนก็อาจมีเครื่องถ่ายเอกสารไว้ใช้งาน
เครื่องถ่ายเอกสารเหล่านี้สามารถนำไปใช้งานได้ทั้งที่ละเมิดและไม่ละเมิด ลิขสิทธิ์
ในส่วนที่เกี่ยวการศึกษานั้นส่วนใหญ่ผู้ใช้งานจะไม่เต็มใจหรือไม่สามารถที่
จะจ่ายราคาที่เจ้าของลิขสิทธิ์เห็นว่ามีเหตุผล ยิ่งกว่านั้นมีงานสร้างสรรค์ เช่น
ตำราเรียนซึ่งภาคการศึกษาเป็นตลาดสำคัญ
การถ่ายเอกสารจากงานดังกล่าวอย่างกว้างขวางย่อมทำให้ผู้สร้างสรรค์ไม่สามารถ
จะผลิตงานออกสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิผล หากไม่มีการควบคุมการถ่ายเอกสารดังกล่าว ก็จะไม่มีใครผลิตตำราเหล่านั้นออกมา
และระบบการศึกษาก็จะตกอยู่ในฐานะที่ย่ำแย่กว่า
แม้จะไม่มีใครเห็นด้วยว่าการใช้งานเพื่อการศึกษาจะไม่ต้องจ่ายค่าใช้
แต่ค่าตอบแทนการใช้งานดังกล่าวก็ควรจะมีค่อนข้างต่ำ
และมีตัวแทนเรียกเก็บค่าอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์(21)
มูลเหตุจูงใจทางด้านการเงินในการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือบางส่วนของงานอัน
มีลิขสิทธิ์เพื่อการวิจัยหรือศึกษาส่วนบุคคลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องนำมา
พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรมหรือไม่
ในปัญหานี้จะต้องพิจารณาปัจจัยด้านอื่น เช่น ลักษณะของการวิจัยหรือศึกษาและทุนซึ่งให้แก่นักวิจัยหรือนักศึกษา
รวมทั้งการพิจารณาปัญหาว่าบุคคลดังกล่าวเพียงแต่ต้องการประหยัดรายจ่ายของตน
เองแทนการซื้อสำเนาของงานหรือไม่
หรือเป็นที่คาดหวังหรือไม่ว่าการซื้อสำเนาของงานนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เช่น
นักศึกษาชั้นบัณฑิตศึกษาต้องการอ้างอิงบทความในวารสารและหนังสือนับร้อย เรื่อง
นักศึกษาคงไม่สามารถที่จะซื้อบทความและหนังสือได้มากนัก
นักศึกษาคงตัดสินใจที่จะซื้อเรื่องที่เขาจำต้องใช้แล้ว ใช้อีกในระหว่างการทำวิจัย
แต่ส่วนใหญ่ของบทความและหนังสือจะมีการใช้ไม่บ่อยนักและมีการอ้างอิงในสัด
ส่วนที่น้อย จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะไปคาดหวังให้นักศึกษาซื้อหนังสือหรือวารสาร
นั้น(22)
ส่วนการแบ่งขอบเขตว่าการใช้งานเพื่อการวิจัยหรือการศึกษาส่วนบุคคลเพียงใด
จึงจะเข้าข่ายการปฏิบัติที่เป็นธรรมนั้นกระทำได้ยาก
การคัดลอกบทความหนึ่งจากวารสารเพื่อการศึกษาทั้งฉบับ หรือการคัดลอกบางส่วนของหนังสือทั้งเล่ม
เช่น 1 บท ก็น่าที่จะถือได้ว่าเป็นการใช้ที่เป็นธรรม(23)
4.
ประเทศออสเตรเลีย
กฎหมายลิขสิทธิ์ปี
1968 ของออสเตรเลียก็มีข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยใช้หลักการปฏิบัติที่เป็น
ธรรม (fair
dealing) เช่นเดียวกัน เช่น เพื่อการวิจัยหรือศึกษา (มาตรา 40)
การใช้ในชั้นเรียนเพื่อการศึกษา (มาตรา 28)
การตัดทอนส่วนน้อยจากงานวรรณกรรมและนาฏกรรมในสถาบันการศึกษาเพื่อประกอบการ
เรียนการสอนในสถาบันการศึกษานั้น (มาตรา 135 ZG, 135
ZH) ทั้งนี้จะต้องไม่คัดลอกเกิน 1%
ของงานนั้นๆและการคัดลอกงานนั้นจะกระทำไม่ได้อีกภายใน 14 วันนับแต่ครั้งก่อน(24)
ในการพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรมหรือไม่
จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ รวมทั้งวัตถุประสงค์และลักษณะของการปฏิบัติ
ลักษณะของงานที่เป็นปัญหา การให้บริการในเชิงพาณิชย์ ผลกระทบในมูลค่าของงาน
ปริมาณและส่วนสำคัญของงานที่คัดลอกมา (มาตรา 40 (2) ) อย่างไรก็ตาม
การปฏิบัตินั้นจะถือว่าเป็นธรรมหากปรากฏว่ามีการคัดลอกบทความบางส่วนหรือบาง
บทในวารสาร
และไม่มีการคัดลอกบทความในประเด็นของปัญหาเดียวกันและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
ที่ต่างกัน (มาตรา 40 (3) (a), (4))
ในกรณีอื่นๆ หากคัดลอกในสัดส่วนที่มีเหตุผล ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรม
(มาตรา 40 (3) (b))ในกรณีเป็นงานที่โฆษณาแล้ว
หากคัดลอกงานไม่มากกว่า 1 บท หรือ 10% ของงานนั้น (แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า)
ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรม (มาตรา 10 (2))(25)
5.
ประเทศในยุโรป
5.1
ประเทศเนเธอร์แลนด์
กฎหมายลิขสิทธิ์ปี
1912 (แก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง) ของเนเธอร์แลนด์บัญญัติการปฏิบัติที่เป็นธรรม (fair
dealing) ซึ่งไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หลายประการ เช่น
การคัดลอกเล็กน้อยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ที่ได้อ้าง
อิงชื่อผู้สร้างสรรค์และจ่ายค่าธรรมเนียมตามสมควรแล้ว
ส่วนการคัดลอกงานสั้นๆทั้งเล่มเพื่อประโยชน์ของตนเองนั้นสามารถกระทำได้หาก
งานนั้นไม่ได้วางจำหน่ายในตลาดอีกต่อไปแล้ว(26)
5.2
ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
กฎหมายลิขสิทธิ์ของเยอรมนีไม่ปรากฏแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ที่เป็นธรรม
(fair
use) หรือการปฏิบัติที่เป็นธรรม (fair dealing) แต่ก็มีบทบัญญัติอื่นในทำนองเดียวกัน ดังนั้น
การทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล (private) และการศึกษาสามารถกระทำได้โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์(27)
5.3
ประเทศไอซ์แลนด์
กฎหมายลิขสิทธิ์ปี
1972 ของไอซ์แลนด์บัญญัติให้การใช้เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล (private
use) ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
การคัดลอกที่จะถือว่าเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลคือการคัดลอกเพื่อ
ประโยชน์ของตนเอง (personal use) หรือเพื่อใช้ในกลุ่มเล็กๆในครอบครัวและเพื่อน
ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องตีความให้เป็นคุณแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
ในกรณีที่มีข้อสงสัยเจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องเป็นฝ่ายชนะคดี(28)
6. ประเทศไทย
แต่เดิมกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยได้บัญญัติการกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการ
ละเมิดลิขสิทธิ์ว่า "การใช้โดยธรรมซึ่งสิ่งมีลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์แห่งการร่ำเรียนส่วนตัว
การค้นหาความรู้…" (มาตรา 20 (1) แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม
พ.ศ. 2474) แต่ไม่มีองค์ประกอบ 4 ข้ออย่างกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา
ส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับต่อมาคือ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521
ได้บัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ในส่วนที่เกี่ยวกับการวิจัย ศึกษา
และการใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองไว้ในมาตรา 30 (1) และ (2) และ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 32
วรรคสอง (1) และ (2)
กฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย
2 ฉบับหลังในเรื่องดังกล่าวมีข้อแตกต่างที่สำคัญอยู่ 2 ประการ ประการแรก
ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ปี 2521
เป็นการยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเน้นที่วัตถุประสงค์ของการกระทำ (เพื่อวิจัย
ศึกษา หรือใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง) ส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์ปี 2537
ยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่การกระทำนั้น
โดยไม่ได้บัญญัติถึงวัตถุประสงค์ของการกระทำอย่างชัดแจ้งดังกฎหมายลิขสิทธิ์ ปี
2521 ส่วนข้อแตกต่างประการหลังก็คือ กฎหมายลิขสิทธิ์ปี 2537
ได้บัญญัติเงื่อนไขทั่วไปของข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ 2 ข้อในมาตรา 32
วรรคหนึ่ง คือ (1)
การกระทำนั้นจะต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติ
ของเจ้าของลิขสิทธิ์ และ (2)
การกระทำนั้นจะต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของ
ลิขสิทธิ์เกินสมควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อความในความตกลง TRIPs
ข้อ13 ที่มีการลงนามผูกพันกันภายหลังการออกกฎหมายลิขสิทธิ์ ปี 2537
ของไทย ในขณะที่กฎหมายลิขสิทธิ์ปี 2521 ของไทยไม่มีเงื่อนไข 2 ข้อดังกล่าว
กฎหมายลิขสิทธิ์ปี
2537 ของไทยได้บัญญัติการทำซ้ำของผู้สอนหรือสถาบันศึกษา และบรรณารักษ์ของห้องสมุด
ให้แก่ผู้เรียนหรือบุคคลอื่นเพื่อการวิจัยหรือศึกษาอันเป็นข้อยกเว้นการ
ละเมิดลิขสิทธิ์ไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องเป็นการทำซ้ำเพียงบางส่วนของงานหรือ
บางตอนตามสมควรเท่านั้น (มาตรา 32 วรรคสอง (7) และมาตรา 34 (2))
7.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2543
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
จำเลยประกอบกิจการรับจ้างถ่ายเอกสาร เย็บเล่มและเข้าปกหนังสือ
มีสถานประกอบการอยู่ติดกับมหาวิทยาลัย อ.
ซึ่งใช้หนังสือวิชาการจัดการและการตลาดอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งสามใน
การให้การศึกษาแก่นักศึกษา
จำเลยได้ทำซ้ำงานบางส่วนของหนังสือทั้งห้าเล่มของโจทก์ร่วม โดยจัดทำเป็นเอกสารจำนวน
43 ชุด เก็บไว้ที่ร้านค้าของจำเลย
จำเลยย่อมมีโอกาสที่จะขายเอกสารที่จำเลยทำซ้ำขึ้นมาดังกล่าวแก่นักศึกษาได้ สะดวก
ทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยซึ่งกระทำในวันเดียวกัน
จำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อขาย เสนอขาย
หรือมีไว้เพื่อขาย
อันเป็นการที่จำเลยทำซ้ำขึ้นเองเพื่อการค้าและแสวงหาประโยชน์จากการขายสำเนา
งานที่จำเลยทำซ้ำขึ้นมา
มิใช่การรับจ้างถ่ายเอกสารจากนักศึกษาที่ต้องการได้สำเนางานที่เกิดจากการทำ
ซ้ำไปใช้ในการศึกษาวิจัย อันเป็นเหตุยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 มาตรา 32 (1)
ประเด็นข้อพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกามีเพียงว่าการทำซ้ำงานพิพาทบางส่วน
ของจำเลยเป็นการทำซ้ำขึ้นเองเพื่อการค้า หรือรับจ้างถ่ายเอกสารให้นักศึกษา
ศาลชั้นต้น (ศาลทรัพย์สินฯกลาง คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.784/2542) ฟังว่าจำเลยรับจ้างถ่ายเอกสารให้นักศึกษา
แต่ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยทำซ้ำงานพิพาทขึ้นเองเพื่อการค้า
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการกระทำของจำเลยจะไม่เข้าข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
เพราะไม่ใช่การวิจัยหรือศึกษา และไม่ใช่การใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง (private
use) ตามมาตรา 32 วรรคสอง (1) และ (2) แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.
2537 อย่างค่อนข้างจะชัดเจน จำเลยเป็นเจ้าของร้านรับจ้างถ่ายเอกสาร
ไม่ใช่นักวิจัยหรือนักศึกษา การกระทำของจำเลยก็เพียงเพื่ออำนวยความสะดวกให้
นักศึกษาเท่านั้น
ซึ่งมีผลทำให้ถือได้ว่านักศึกษาซื้อชุดเอกสารที่จำเลยถ่ายเตรียมไว้ล่วงหน้า
นั่นเอง(29) ส่วนการริบเครื่องถ่ายเอกสาร 3 เครื่องนั้น
ก็เป็นการริบเพราะเป็นสิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.
2537 มาตรา 75 บัญญัติให้ริบโดยเด็ดขาดแตกต่างจาก ป.อ. มาตรา 33
ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2543
(โปรดศึกษาได้จากหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวในหนังสือคำพิพากษา
ศาลฎีกาของสำนักงานศาลยุติธรรม)
8.
คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คดีอาญาหมายเลขแดง
ที่ อ.784/2542
ศาลทรัพย์สินฯกลางวินิจฉัยว่า
ข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเรื่องข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับการศึกษา
หรือวิจัยอันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
ศาลได้พิจารณาเทียบเคียงกับหลักการใช้อย่างเป็นธรรม (fair
use) และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 แห่งสหรัฐอเมริกาในคดี Princeton
University Press V. Michigan Document Services 99 F. 3d 1381(6th. Cir. 1996) ด้วย
ข้อเท็จจริงได้ความว่า
จำเลยประกอบธุรกิจร้านถ่ายเอกสารในบริเวณมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่เมืองแอนนา เบอร์
โดยทำสำเนางานที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยดังกล่าวสั่งให้นักศึกษาอ่านในชั้น
เรียนเพื่อจำหน่ายแก่นักศึกษาโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์
ผู้พิพากษาฝ่ายข้างมาก (8 : 5)
ปฏิเสธข้อต่อสู้เรื่องการใช้อย่างเป็นธรรมของจำเลยโดยอ้างว่าผู้ประกอบธุจ
กิจร้านถ่ายเอกสารรายอื่นๆต่างขออนุญาตทำสำเนางานจากเจ้าของลิขสิทธิ์ทุกราย
แต่จำเลยมิได้ยื่นคำขอต่อโจทก์ทั้งๆที่สามารถทำได้ การกระทำของจำเลยจึงกระทบกระเทือนต่อสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เกิน
สมควร มิใช่การใช้อย่างเป็นธรรม ส่วนผู้พิพากษาฝ่ายข้างน้อยเห็นว่า
การตีความข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเคร่งครัดของผู้พิพากษาฝ่ายข้างมาก
เป็นการถ่วงความก้าวหน้าของการศึกษาในสังคมอเมริกัน คดีนี้โจทก์มิได้รับการกระทบกระเทือนทางเศรษฐกิจเกินกว่าประโยชน์ทางการ
ศึกษาที่จำเลยให้แก่นักศึกษา
การถ่ายเอกสารของจำเลยเพื่อการค้ารวดเร็วและประหยัดกว่า
และเป็นวิวัฒนาการในการศึกษาโดยนักศึกษาสามารถหาซื้องานที่อาจารย์สั่งให้
อ่านและค้นคว้าได้อย่างสะดวก รวดเร็วและประหยัดจากร้านถ่ายเอกสารข้างมหาวิทยาลัย
อาจารย์สามารถให้ข้อมูลที่ต้องการสอนแก่ร้านถ่ายเอกสารดังกล่าวพร้อมกับสั่ง
ให้ทำสำเนาแก่นักศึกษาคนละหนึ่งชุด
จึงถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใช้อย่างเป็นธรรมแล้ว
ศาลทรัพย์สินฯกลางเห็นว่า
วิชาการตลาด การบริหารธุรกิจ และวิชาเบื้องต้นทางสังคมศาสตร์เป็นวิชาที่มีผู้ลงทะเบียนเรียนจำนวนมากใน
แต่ละภาคการศึกษา
หากนักศึกษาคนใดนำหนังสือเรียนดังกล่าวไปทำซ้ำในบทที่อาจารย์ผู้สอนกำหนดให้
เรียนก็ดูจะเป็นการใช้อย่างเป็นธรรมอันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.
ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 วรรคสอง (1) เมื่อนักศึกษาทุกคนทำในลักษณะเดียวกัน
นักศึกษาทุกคนย่อมได้รับการยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
แทนที่นักศึกษาแต่ละคนจะต้องถ่ายเอกสารคนละ 1 ชุด
นักศึกษาก็อาจจ้างหรือใช้ให้บุคคลอื่นทำแทนตน แม้ร้านถ่ายเอกสารจะกระทำเพื่อการค้า
แต่การค้าดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากการใช้แรงงาน เครื่องจักรและวัสดุของร้านค้า
โดยคิดราคาแผ่นละ 60 สตางค์
ร้านถ่ายเอกสารจึงมิได้ค้ากำไรจากการทำละเมิดลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น
แต่เป็นการทำตามสัญญาจ้างระหว่างนักศึกษาและร้านค้า
ร้านค้าเป็นเสมือนเครื่องมือหรือตัวแทนในการถ่ายเอกสารทำสำเนาของนักศึกษา
ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ของนักศึกษาย่อมสามารถใช้กับร้านค้าได้ด้วย
ในส่วนปริมาณของงานอันมีลิขสิทธิ์ที่จำเลยนำไปทำซ้ำนั้น มีเพียงร้อยละ 20.83
และร้อยละ 25 ของหนังสือทั้งเล่มเท่านั้น เป็นการพอสมควร
การให้นักศึกษาต้องซื้อหนังสือทุกเล่มหรือเป็นสมาชิกวารสารทุกฉบับ
ย่อมเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางการศึกษาและวิชาการในสังคม
อีกทั้งไม่ปรากฏว่าสำนักพิมพ์ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้แต่งตั้ง
ตัวแทนเพื่อการเจรจาอนุญาตให้ใช้สิทธิในประเทศไทย หากนักศึกษา
ครูบาอาจารย์หรือร้านถ่ายเอกสารซึ่งเป็นตัวแทนของบุคคลดังกล่าวในประเทศไทย
ต้องการขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เพื่อการทำสำเนาอย่างถูกต้องก็ไม่ปรากฏ
ว่าบุคคลหรือองค์กรเหล่านั้นต้องปฏิบัติอย่างไร
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องสร้างระบบจัดเก็บและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประสงค์จะขอ
อนุญาตใช้สิทธิ มิฉะนั้น ก็ไม่อาจถือได้ว่าการทำสำเนางานของจำเลยซึ่งเป็นไปเพื่อการศึกษาของนักศึกษา
จะเป็นการขัดต่อการแสวงหาประโยชน์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์
หรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32 วรรคแรก แห่งพ.ร.บ.
ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ศาลทรัพย์สินฯกลางยกฟ้องโจทก์
ประเด็นตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินฯกลางมีข้อที่ควรแก่การพิจารณาดังนี้
(1)
ศาลไทยใช้แนวทางการวินิจฉัยคดีของศาลในประเทศอื่นได้หรือไม่
คำตอบคงจะเป็นว่าไม่มีข้อห้ามศาลไทยที่จะกระทำเช่นนั้นหากแนวทางการวินิจฉัย
ของศาลในประเทศอื่นสอดคล้องกับกฎหมายไทย ส่วนที่ศาลชั้นต้นใช้หลักกฎหมายและการวิเคราะห์ของศาลในสหรัฐอเมริกามา
พิจารณาประกอบโดยอ้างเหตุว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศสัญชาติของโจทก์
ร่วมทั้งสาม จึงมีจุดเกาะเกี่ยวอย่างใกล้ชิด
(และบทบัญญัติเรื่องการใช้อย่างเป็นธรรม (Fair Use) ของสหรัฐอเมริกาได้รับการพัฒนาและวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยสภา
นิติบัญญัติและศาลในประเทศสหรัฐอเมริกา) นั้น
น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นหลักที่นำมาใช้เทียบเคียงได้หรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่บันทึกอยู่นี้เป็นคดีอาญาและเป็นคดีที่เกิดขึ้นใน
ประเทศไทย ในส่วนของกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยและสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวกับข้อยกเว้นการ
ละเมิดลิขสิทธิ์นั้นก็ไม่น่าจะเหมือนกันจนอาจตีความเหมือนกันได้
(2)
สำหรับความเห็นแย้งของศาลอุทธรณ์ภาค 6 แห่งสหรัฐอเมริกาในคดี Princeton
University Press V. Michigan Document Services 99 F. 3d. 1381 ( 6th Cir. 1996)
ที่ศาลชั้นต้นอ้างถึงนั้น เป็นความเห็นฝ่ายข้างน้อย 5 : 8
ซึ่งแม้จะมีข้อน่าคิดอยู่มาก
แต่คงต้องนำมาชั่งน้ำหนักกันว่าการจะถือกรณีนี้เป็นข้อยกเว้นการละเมิด
ลิขสิทธิ์จะเป็นการสร้างดุลแห่งผลประโยชน์ระหว่างผู้ใช้งานกับเจ้าของ
ลิขสิทธิ์หรือไม่ ดังที่ศาลชั้นต้นเองก็ได้มองถึงปัญหานี้แล้ว เพียงแต่ยังคงยืนยันความเห็นที่จะให้การกระทำของจำเลยในคดีนี้เข้าข่ายมีข้อ
ยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นักศึกษาแต่ละคนรวม 43
คนได้ว่าจ้างให้จำเลยถ่ายเอกสารหนังสือพิพาทบางส่วน แล้วเข้าเล่มรวม 43 ชุด
แม้จำเลยไม่ได้ใช้งานเอกสารที่ถ่ายเพื่อการศึกษาเอง แต่ก็เป็นการกระทำแทนหรือในนามของนักศึกษาแต่ละคน
การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
แม้กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยจะไม่มีบทบัญญัติดังกล่าวโดยชัดแจ้งทำนองกฎหมาย
ลิขสิทธิ์ของอังกฤษก็ตาม ก็อาจเทียบเคียงได้จากการทำซ้ำบางส่วนของผู้สอนตามมาตรา
32 วรรคสอง (7) หรือการทำซ้ำงานบางตอนของบรรณารักษ์ของห้องสมุดตามมาตรา 34 (2)
แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของไทยก็ได้
ซึ่งผู้ทำซ้ำคือผู้สอนและบรรณารักษ์ไม่ต้องรับผิด
แต่หากข้อเท็จจริงฟังได้ในอีกทางหนึ่งว่า
ไม่มีนักศึกษาคนใดว่าจ้างให้จำเลยถ่ายเอกสาร งานพิพาท เพียงแต่จำเลยมีประสบการณ์จากปีก่อนๆว่ามีนักศึกษาใช้งานพิพาทจำนวนหนึ่ง
จึงเตรียมถ่ายเอกสารเข้าเล่มไว้ล่วงหน้าจำนวน 43 ชุด เช่นคดีนี้
จำเลยจะอ้างข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพราะเหตุเพื่อการศึกษาไม่ได้
เพราะจำเลยไม่ใช่นักศึกษา และไม่มีนักศึกษาคนใดจ้างจำเลยถ่ายเอกสาร แต่จำเลยถ่ายเอกสารไว้เพื่อขายให้นักศึกษาเท่านั้น
ซึ่งไม่เป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้จำเลยจะคิดราคาเพียงแผ่นละ 60 สตางค์
ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงในขณะเกิดเหตุเมื่อปี 2541 ก็ตาม อนึ่ง มองในอีกแง่มุมหนึ่ง
หากยอมให้จำเลยซึ่งสมมติว่ามีเครื่องถ่ายเอกสารคุณภาพดีราคาแพงสามารถถ่าย
เอกสารเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อขายให้นักศึกษาได้
จะไม่เป็นการเปิดช่องให้จำเลยเป็นผู้ผูกขาดทำธุรกิจนี้เสียเอง
โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้สิทธิให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานที่สร้างสรรค์งานด้วยความ
ยากลำบากหรือ อีกทั้งอาจจะเป็นบ่อเกิดให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานเดิมและงานอื่นต่อไป
เพราะขาดการควบคุม
การกระทำของจำเลยในกรณีนี้ไม่เข้าข่ายยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้อง
พิจารณาปัญหาการขัดต่อการแสวงหาประโยชน์และกระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของ
ลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32 วรรคหนึ่งหรือไม่เสียด้วยซ้ำไป
(3)
ส่วนที่ศาลชั้นต้นตำหนิระบบจัดเก็บค่าใช้สิทธิของโจทก์ร่วมว่า
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องสร้างระบบจัดเก็บและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประสงค์ขอใช้ สิทธิ
แต่ไม่ปรากฏว่าสำนักพิมพ์ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้แต่งตั้งตัวแทนเพื่อ
การเจรจาให้ใช้สิทธิในประเทศไทย และนักศึกษา ครูหรือร้านถ่ายเอกสารจะต้องปฏิบัติอย่างไรในการขอใช้สิทธินั้น
น่าจะเป็นข้อพิจารณาในการกำหนดความรับผิดของจำเลยว่ามีเพียงใดมากกว่าจะนำมา
ใช้พิจารณาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมหรือไม่
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่
กับหลักเกณฑ์การพิจารณาให้จำเลยรับผิดในการละเมิดลิขสิทธิ์ของตนเพียงใดมี
ข้อแตกต่างกันและอยู่คนละขั้นตอนกัน ไม่พึงนำมาพิจารณารวมเป็นเรื่องเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่า
มีการใช้ตำราเรียนวิชาการจัดการและการตลาดของโจทก์ร่วมมาหลายปีแล้ว จำเลยจึงย่อมอยู่ในสภาพที่จะติดต่อกับโจทก์ร่วมเพื่อขอใช้สิทธิในการประกอบ
ธุรกิจถ่ายเอกสารจากตำราของโจทก์ร่วมได้ล่วงหน้าหากจำเลยมีความตั้งใจที่จะ
ทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พยายามแล้ว
(4)
ข้อที่ควรแก่การพิจารณาประการสุดท้ายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็คือ ปริมาณงานที่จำเลยทำซ้ำเป็นการสมควรหรือไม่
ข้อเท็จจริงปรากฏว่างานที่จำเลยทำซ้ำแต่ละชุดคิดเป็นร้อยละ 20.83 และร้อยละ 25
ของหนังสือแต่ละเล่ม ศาลชั้นต้นมีความเห็นทำนองว่าเป็นปริมาณพอสมควร
ประเด็นนี้ไม่เป็นปัญหาในศาลฎีกาเพราะศาลฏีกาฟังว่าจำเลยไม่ได้รับจ้างนัก
ศึกษาถ่ายเอกสาร
เกี่ยวกับปัญหาปริมาณของงานอันมีลิขสิทธิ์ที่สามารถจะนำไปใช้เพื่อการศึกษา
อันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32 วรรคสอง (1) แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 ของไทยนั้น
กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ดังกฎหมายของประเทศออสเตรเลียที่ให้ทำซ้ำได้ไม่เกิน 1 บท หรือ10%
ของงานที่พิมพ์โฆษณาแล้ว (แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า) และก็ไม่มีแนวปฏิบัติ (Guidelines)
ของกลุ่มนักการศึกษา
ผู้สร้างสรรค์และผู้พิมพ์โฆษณาอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกา(30)
หลักเกณฑ์การพิจารณาตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยจึงอยู่ที่ปริมาณการทำซ้ำงาน
อันมีลิขสิทธิ์นั้นเป็นการขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม
ปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์
และกระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควรตาม มาตรา
32 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หรือไม่
ซึ่งคงต้องพิจารณาในหลายแง่มุมและตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป
โดยมีจุดหมายท้ายสุดว่า สังคมก็ได้ประโยชน์จากความรู้
ศิลปะและวิทยาการต่างๆที่ผู้สร้างสรรค์ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้าง
สรรค์งานนั้นขึ้น และจูงใจให้ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์งานป้อนให้สังคมต่อไป
การนำหัวข้อในองค์ประกอบ 4 ข้อ ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรายละเอียดในอีกแง่มุมหนึ่งมาช่วย
ในการพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
แนวความคิดและวิถีชีวิตของไทยก็เป็นเรื่องที่น่าจะกระทำได้
ดังนั้นปริมาณของงานอันมีลิขสิทธิ์ที่จำเลยในคดีนี้นำไปใช้เพียง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน
4 ของตำราแต่ละเล่มจึงน่าเป็นที่ยอมรับได้ว่าเป็นปริมาณพอสมควร
แต่หากนักศึกษาจะถ่ายเอกสารจากตำราทั้งเล่ม แม้จะถ่ายเอกสารตำราเพียงคนละ 1 เล่ม
น่าจะไม่ใช่ปริมาณการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ที่ สมควร
เพราะหากยอมให้นักศึกษาทำได้เช่นนั้น ผู้สร้างสรรค์งานคงไม่อาจจำหน่ายงานที่ตนสร้างสรรค์ขึ้นมาตามวัตถุประสงค์
ของการสร้างสรรค์งานได้
ย่อมขัดต่อการแสวงหาประโยชน์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่ง
พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
แต่หากปรากฏว่างานอันมีลิขสิทธิ์นั้นไม่มีการพิมพ์ออกจำหน่ายอีกต่อไปแล้ว (out
of print) การถ่ายเอกสารจากงานนั้นทั้งเล่ม
ย่อมไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ อนึ่ง
หากมีการโต้แย้งว่า นักศึกษาถ่ายเอกสารจากตำราวันละ 10% ของตำราทั้งเล่ม เป็นเวลา
10 วัน ก็จะได้สำเนาตำราที่เกิดจากการถ่ายเอกสารทั้งเล่ม
การกระทำของนักศึกษาน่าจะเข้าข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
น่าจะเป็นการเลี่ยงบาลีหรือเลี่ยงกฎหมายมากกว่า
กรณีเช่นนี้ไม่น่าจะถือว่าเข้าข่ายยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์อันเป็น fair
use แต่น่าจะเป็น free use มากกว่า
ส่วนกรณีกระทบกระเทือนสิทธิเกินสมควรนั้น
อาจเทียบเคียงกับการถ่ายเอกสารหลายชุด (multiple copies) เช่น
บรรณารักษ์ของห้องสมุดมีสิทธิทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ทั้งเล่มโดยไม่ต้อง
ขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์
แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นการทำซ้ำเพื่อใช้ในห้องสมุดของตน
หรือให้แก่ห้องสมุดอื่น ตามมาตรา 34 (1) แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แต่บรรณารักษ์ไม่สามารถจะทำซ้ำโดยไม่จำกัดจำนวนชุดได้
เพราะมาตรา 34 ก็อยู่ภายในบังคับของมาตรา 32 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ
การทำซ้ำของบรรณารักษ์จะต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์ตามปกติและไม่กระทบ
กระเทือนถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร ดังนั้น หากบรรณารักษ์จะทำซ้ำตำราเล่มละ
2 - 3 ชุด เพื่อใช้ในห้องสมุด คงพอที่จะรับได้ว่าเป็นจำนวนพอสมควร
แต่หากบรรณารักษ์จะทำซ้ำตำราเล่มละ 10-12 ชุด
น่าจะถือว่าเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร
ไม่เข้าข่ายยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
9. บทสรุป
กรณีข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือการใช้ที่เป็นธรรม(fair
use) พึงระลึกอยู่เสมอว่าเป็นการพบกันคนละครึ่งทางระหว่างประโยชน์ของผู้สร้าง
สรรค์กับสังคม การใช้งานของผู้สร้างสรรค์จึงไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน (The use
is free.) fair use น่าจะมีความหมายแตกต่างจาก free use ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งจะใช้ประโยชน์จากงานสร้างสรรค์ของผู้อื่นแต่ด้านเดียว
โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรมที่พึงให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานที่สร้างสรรค์
งานนั้นด้วยความวิริยะอุตสาหะแต่อย่างใด หากผู้คนในสังคมมุ่งที่จะ free use
แต่ถ่ายเดียว สังคมเองก็น่าจะได้รับผลกระทบในท้ายที่สุด
เพราะการเพิ่มพูนผลงานสร้างสรรค์ของมนุษย์จะลดน้อยลง