การเดินแบบเสื้อผ้าไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์(คดีลูกเกตุเมทินี)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
3332/2555
โจทก์ นางสาวเมทินี
กิ่งโพยม กับพวก
จำเลย บริษัทแดพเพอร์เจ็นเนอรัลอะแพเร็ล จำกัด กับพวก
พ.ร.บ.
ลิขสิทธิ์ฯ (มาตรา 4,
6, 15, 32, 33, 34, 36, 42, 43, 44, 52, 53, 69)
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่
1 กระทำละเมิดสิทธิของนักแสดงของโจทก์ทั้งสองเพื่อประโยชน์ทางการค้าของจำเลยที่ 1
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย
เป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าตอบแทนจากการถ่ายแบบรวมทั้งค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณและภาพพจน์โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ
1,000,000 บาท ค่าขาดโอกาสในการรับงานแสดงแบบคนละ 500,000 บาท และจำเลยที่ 2
กับที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1
ทั้งรู้เห็นหรือเห็นชอบในการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดด้วยโจทก์ทั้งสองได้มีหนังสือทวงถามแล้ว
แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสาม
ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ
1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ
80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนักถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปตามที่โจทก์ทั้งสองขอไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่
1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง และให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2
และที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1
อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า"ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ยุติว่า
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3
เป็นกรรมการ โจทก์ทั้งสองประกอบอาชีพเป็นนางแบบ นักแสดง และผู้นำเสนอสินค้า
เมื่อระหว่างวันที่ 6 ถึง 9 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ทั้งสองรับจ้างบริษัทโปรดั๊กชั่น
สตอรี่ จำกัด เดินแบบแฟชั่นในงานแอล บางกอก แฟชั่น วีค 2003 ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม กรุงเทพมหานครโจทก์ทั้งสองเดินแบบเสื้อผ้าหลายยี่ห้อ
รวมทั้งของจำเลยที่ 1 ยี่ห้อ "แด็พเพอร์" ด้วย ต่อมาเดือนมกราคม 2547
โจทก์ทั้งสองทราบว่าจำเลยที่ 1 นำภาพถ่ายการเดินแบบ
ของโจทก์ทั้งสองไปลงโฆษณาในนิตสารแอล
หน้า 226,
227 นิตยสารดิฉันหน้า 196,
197 นิตยสารเปรียว หน้า 114, 115 นิตยสารไฮ
หน้า 202, 203 โดยมีการโฆษณาชื่อร้าน จำนวน สาขา
และระบุสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย
พิเคราะห์แล้ว
เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นประการแรกว่า
การที่โจทก์ทั้งสองแสดงการเดินแบบเสื้อผ้าตามคำฟ้องทำให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิของนักแสดงหรือไม่
โดยจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า นักแสดงหรือผู้แสดงต้องแสดงในสิ่งซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์เท่านั้นจึงจะได้สิทธิของนักแสดงที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 มาตรา 44 เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
บัญญัติคุ้มครองสิทธิของนักแสดงไว้ในมาตรา 44 ว่า"นักแสดงย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของตน
ดังต่อไปนี้
(1)
แพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งการแสดง เว้นแต่จะเป็นการแพร่เสียง
แพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนจากสิ่งบันทึกการแสดงที่มีการบันทึกไว้แล้ว (2)
บันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกไว้แล้ว (3) ทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงที่มีผู้บันทึกไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนักแสดงหรือสิ่งบันทึกการแสดงที่ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์อื่นหรือสิ่งบันทึกการแสดงที่เข้าข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา
53 " และมาตรา 4 บัญญัติบทนิยายคำว่า "นักแสดง" หมายความว่า
ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ
และผู้ซึ่งแสดงท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์
แสดงตามบทหรือในลักษณะอื่นใด จากบทบัญญัติ 2 มาตราดังกล่าวนี้ เห็นได้ว่า
กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดเจนเฉพาะความหมายว่า
บุคคลเช่นใดบ้างที่ถือว่าเป็นนักแสดงและบัญญัติคุ้มครองโดยให้สิทธิในส่วนการกระทำเกี่ยวกับการแสดงของตน
โดยมิได้บัญญัติให้ชัดเจนว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความคุ้มครองคืออะไร
อย่างไรก็ตามในเรื่องการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงนี้ย่อมถือเป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิของนักแสดงดังกล่าว
และเป็นไปไม่ได้ที่จะแปลความเป็นว่า ไม่ว่านักแสดงจะกระทำอะไรก็ได้สิทธิของนักแสดงในส่วนเกี่ยวกับการกระทำนั้นทั้งหมดโดยไร้ขอบเขต
ดังนี้ จึงต้องตีความถึงลักษณะของการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงนี้ให้ต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการให้ความคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากบทกฎหมายและเหตุผลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยในเบื้องต้นเมื่อพิจารณาบทกฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่เคยมีมาแต่เดิมไม่ได้บัญญัติให้การคุ้มครองแก่สิทธิของนักแสดงไว้
เพิ่งนำมาบัญญัติให้การคุ้มครองครั้งแรกภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่อแสดงให้เห็นว่า
พระราชบัญญัติฉบับนี้มีเจตนารมณ์ที่จะให้การคุ้มครองสิทธิของนักแสดงในลักษณะที่เกี่ยวกับลิขสิทธิ์นั่นเอง
โดยในส่วนการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นมีบทบัญญัติที่สำคัญในมาตรา 15
ที่บัญญัติให้เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่ผู้เดียวดังต่อไปนี้ (1) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน (3) ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โสตทัศนวัสดุ ภายยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง (4) ให้ประโยชน์
อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
(5) อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตาม (1) (2) หรือ (3) โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดหรือไม่ก็ได้
แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะกำหนดในลักษณะที่เป็นการจำกัดการแข่งขันโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้
และในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติจำกัดขอบเขตของลิขสิทธิ์ให้มีเฉพาะในงานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม
นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง
งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
ของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด ซึ่งย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายนี้
มีเจตนารมณ์ให้การคุ้มครองลิขสิทธิ์เพื่อส่งเสริมให้บุคคลคิดสร้างสรรค์งานประเภทต่างๆ
ดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่สังคมที่จะได้ใช้ประโยชน์จากงานสร้างสรรค์อันมีลิขสิทธิ์
เหล่านี้ได้
แต่ก็ต้องให้ประโยชน์โดยคุ้มครองผู้สร้างสรรค์งานหรือผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำการ
เพื่อหาประโยชน์เท่าที่กฎหมายระบุไว้ในมาตรา 15 และมีขอบเขตจำกัดเฉพาะงานต่างๆ เท่าที่ระบุไว้ในมาตรา 6 เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อมิให้กระทบสิทธิของสาธารณชนอื่นเกินสมควร
ส่วนกรณีสิทธิของนักแสดงนั้น เมื่อพิจารณาจากบทนิยามตามมาตรา 4
ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าบุคคลที่จะได้สิทธิของนักแสดงแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกได้แก่ ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น และนักรำ ส่วนกลุ่มที่สองได้แก่
ผู้ซึ่งแสดงท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือลักษณะอื่นใด
ซึ่งในกลุ่มแรกนั้นบุคคลผู้เป็นนักดนตรีก็ดี นักร้องก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดว่า
โดยสภาพแล้วสิ่งที่นักดนตรีและนักร้องจะแสดงออกให้ปรากฏต่อผู้อื่นก็คือการเล่นดนตรีและการร้องเพลงอันเป็นงานดนตรีกรรมตามบทบัญญัตินิยามในมาตรา
4 คำว่า "ดนตรีกรรม" นั่นเอง
ส่วนนักเต้นและนักรำเมื่อพิจารณาประกอบกับบทนิยามในมาตรา 4 คำว่า
"นาฏกรรม" หมายความว่า งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่าหรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว
และให้หมายความรวมถึงการแสดง โดยวิธีใบ้ด้วย
ก็เห็นได้ว่า งานนาฏกรรมนี้เป็นงานที่นักเต้นและนักรำใช้สำหรับการแสดงของตนนั่นเอง
คงมีแต่ในส่วนบุคคลซึ่งผู้แสดงในกลุ่มแรก รวมทั้งผู้ซึ่งแสดง
ในกลุ่มที่สองด้วยที่ยังอาจไม่ชัดเจนว่าต้องแสดงสิ่งใด
แต่เมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีนักดนตรี นักร้อง นักเต้นและนักรำดังกล่าว
ก็น่าจะมีลักษณะเป็นทำนองเดียวกันทั้งหากพิจารณาถึงเหตุผลที่ควรให้การคุ้มครองลิขสิทธิของนักแสดงภายใต้กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์แล้วจะเห็นได้ว่านักแสดงนั้นหากปรากฏว่าเป็นผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์
เช่น งานดนตรีกรรม งานนาฏกรรม หรืองานวรรณกรรมบทละคร ก็ย่อมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองในส่วนงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ตนสร้างสรรค์หรือเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
แต่หากนักแสดงนั้นมิใช่ผู้สร้างสรรค์งาน
หรือเจ้าของลิขสิทธิ์เองโดยเป็นเพียงผู้นำงานอันมีลิขสิทธิ์เช่นว่านั้นมาแสดง
เช่นการเล่นดนตรีหรือร้องเพลงที่เป็นงานดนตรีกรรม หรือเต้นหรือรำจากท่าเต้นท่ารำที่เป็นงานนาฏกรรม
ย่อมเป็นผู้นำเสนองานดังกล่าวให้ปรากฏต่อผู้อื่น หรืออาจถือได้ว่า เป็นผู้นำคุณค่าของงานดังกล่าวมาแสดงให้บุคคลอื่นได้ชื่นชม
นับได้ว่าเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่อันสำคัญเพื่อประโยชน์ในการแสดงออกซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์
จึงมีเหตุผลอันสมควรให้การคุ้มครองแก่นักแสดงเช่นว่านี้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้นจากการคุ้มครองผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาบทมาตราในการให้การคุ้มครองสิทธิของนักแสดงตามมาตรา
44 ดังกล่าวข้างต้นตามมาตรา 44 (1) นักแสดงมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำเกี่ยวกับการแสดงของตนในการแพร่เสียง
แพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อาธารณชนซึ่งการแสดง
ไม่รวมถึงการแพร่เสียงแพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนจากสิ่งบันทึกการแสดงที่มีการบันทึกไว้แล้ว
ส่วนตามมาตรา 44 (2) และ (3) เป็นสิทธิเกี่ยวกับการบันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกการแสดงไว้แล้ว
และการทำซ้ำสิ่งบันทึกการแสดง ซึ่งโดยเฉพาะกรณีตามมาตรา 44 (3)
สิทธิการทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงเข้าข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา
53 นั้น เมื่อพิจารณามาตรา 53 ก็จะเห็นได้ว่า เป็นบทบัญญัติให้นำเหตุยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา
32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 42 และมาตรา 43 มาใช้บังคับแก่สิทธิของนักแสดงโดยอนุโลม ก็เป็นบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างสิทธิของนักแสดงกับงานอันมีลิขสิทธิ์
เช่น กรณีตามมาตรา 32 วรรคสอง บัญญัติไว้ใน (5) และ (6)
กรณีมีการนำงานอันมีลิขสิทธิ์มานำออกแสดงที่มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
หรือกรณีตามที่มาตรา 36 บัญญัติถึงการนำงานนาฏกรรมหรือดนตรีกรรมออกแสดงเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามความเหมาะสม
โดยมิได้จัดทำขึ้นหรือดำเนินการเพื่อหากำไรเนื่องจากการจัดให้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นและมิได้จัดเก็บค่าเข้าชม และนักแสดงไม่ได้รับค่าตอบแทนในการแสดงนั้น
มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หากเป็นการดำเนินการโดยสมาคม มูลนิธิ
หรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณากุศล การศึกษา การศาสนา หรือสังคมสงเคราะห์
และได้ปฏิบัติตามมาตรา 32 วรรคหนึ่ง นั้น หากมีการบันทึกการแสดงนี้ไว้ ก็ไม่ถือว่า
เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของนักแสดงตามมาตรา 44 (1) และ (2)
แต่นักแสดงยังคงมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการทำซ้ำสิ่งบันทึกการแสดงที่ได้รับยกเว้นไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงดังกล่าว
ซึ่งเห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกันของงานอันมีลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงได้ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ยังบัญญัติให้การกระทำที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของนักแสดงตามมาตรา 52
เป็นความผิดและมีโทษทางอาญาที่ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
และหากเป็นกรณีตามวรรคสองเมื่อเป็นการกระทำเพื่อการค้าต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสี่ปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงแปดแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงจำเป็นต้องตีความการมีสิทธิของนักแสดงโดยต้องคำนึงถือสิทธิที่ควรเป็นเรื่องอันสำคัญอันมีเหตุผล
ที่จะให้การคุ้มครองโดยมาตรการทางอาญาดังกล่าว
และต้องตีความโดยเคร่งครัด ดังนี้
ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะตีความว่านักแสดง แสดงสิ่งใดก็ได้สิทธิอย่างไม่มีข้อจำกัด
และย่อม
เป็นไปไม่ได้ที่กฎหมายจะไม่มีบัญญัติถึงลักษณะของการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงอันเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครองไว้ตามมาตรา
44 เว้นแต่จะถือว่าเป็นกรณีที่มีบทบัญญัติอื่นบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
การที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่ได้บัญญัติลักษณะการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงตามมาตรา
44 ไว้ให้ชัดเจนโดยเฉพาะ ก็เป็นเพราะพระราชบัญญัติฉบับนี้มีเจตนารมณ์ที่ถือว่าการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงนั้น
ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะงาน
ดนตรีกรรม
งานนาฏกรรมและงานวรรณกรรมที่มีลักษณะทำนองเป็นบทพากย์ บทละครหรือบทที่ใช้แสดงอื่นใดอันอาจสำมาให้บุคคลที่ถือเป็นนักแสดงตามบทนิยามมาตรา
4 แสดงนั่นเอง
เพราะลักษณะหรือหลักเกณฑ์ต่างๆ
เกี่ยวกับงานเหล่านี้ ล้วนมีบัญญัติไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับงานอันมีลิขสิทธิ์แล้วทั้งสิ้น
จึงไม่จำเป็นต้องบัญญัติซ้ำสำหรับใช้กับกรณีสิทธิของนักแสดงอีก จากบทกฎหมายและเหตุดังวินิจฉัยมาข้างต้น จึงเห็นได้ว่า
การได้สิทธิของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
นั้น ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยาม คำว่า นักแสดงในมาตรา
4
สิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดง
ของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองนั้นต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยเท่านั้น แต่คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายฟ้องแสดงให้เห็นเป็นประเด็นให้วินิจฉัยว่า
การแสดงการเดินแบบเสื้อผ้าตามฟ้องมีการทำท่าที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวในลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมอย่างไร
จึงไม่อาจพิจารณาวินิจฉัยและฟังว่าการแสดงการเดินแบบนี้เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมโดยตัวเองหรือเป็นการแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมอยู่แล้ว
ดังนี้แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นนักแสดงหรือผู้แสดงท่าทางในการเดินแบบ
ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าได้สิทธิของนักแสดง จึงไม่อาจฟังได้ว่า จำเลยที่ 1
ละเมิดสิทธิของนักแสดงของโจทก์ทั้งสอง และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์
ข้ออื่นของจำเลยที่
1 และอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาพิพากษาให้จำเลยที่
1 รับผิดต่อโจทก์ทั้งสองศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยที่
1 ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
(ธัชพันธ์
ประพุทธนิติสาร - อร่าม
เสนามนตรี - ปริญญา
ดีผดุง)
หมายเหตุ
เกี่ยวกับนักแสดงนั้น
น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดหรือนำเสนองานสร้างสรรค์อันมีลิขสิทธิ์
เพราะเป็นการนำเสนอในรูปแบบของการแสดง การร้อง การเต้น การรำ การแสดงท่าทางตามบทหรือแสดงออกในลักษณะอื่นใด ตลอดจนนักดนตรีก็ถือว่าเป็นนักแสดงเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม สิทธิของนักแสดงก็เพิ่งได้รับการยอมรับ และมีการคุ้มครองหลังจากมีการพัฒนากฎหมายลิขสิทธิ์มากขึ้นในช่วงหลัง
โดยมีการบัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธินักแสดงไว้ในฐานะเป็นสิทธิข้างเคียง (neighbouring
right) เพื่อให้มีการคุ้มครองสิทธิประโยชน์นักแสดง แม้จะมีการนิยามความหมายของนักแสดงไว้
แต่ในความรู้สึกหรือความเข้าใจของคนทั่วไปหรือแม้แต่ผู้แสดงหรือนักแสดงเองก็ยังเข้าใจไปในทำนองที่ว่า
เมื่อมีการแสดงออกท่าทาง
อย่างไรออกไป
สิ่งที่แสดงออกไปก็เป็นงานสร้างสรรค์อันมีลิขสิทธิ์ หรืออย่างน้อยก็มีสิทธินักแสดง
ซึ่งกรณีจะเป็นไปดังกล่าวหรือไม่นั้นต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ ที่กฎหมายบัญญัติไว้
หากนักแสดงคิดท่าทางการแสดงไม่ว่าจะเป็นการเดิน การรำ การร้อง
ทำท่าทางแสดงออกที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษไม่เหมือนใคร งานสร้างสรรค์ที่จะนำเข้ามาจับหรือบ่งชี้ว่าจะมีความใกล้เคียงกับการมีลิขสิทธิ์หรือไม่ก็คือ
งานดนตรีกรรม กับงานนาฏกรรม จึงต้องไปพิจารณาดูความหมายโดยรวมทั้งสองงานดังกล่าว
ซึ่งในแง่ของงานดนตรีกรรมอาจจะเข้าใจได้ไม่ยากนัก ส่วนงานนาฏกรรมนั้น
มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การแสดงนั้นต้องเป็นการแสดงที่ประกอบซึ่งเป็นเรื่องราว
ไม่ใช่ทำท่าทางแสดงออกอย่างไรก็เป็นการแสดงไปเสียทั้งหมด ดังนั้น หากจะกล่าวถึงสิทธิของนักแสดงล้วนๆ
ไม่ใช่นักแสดงในฐานะผู้สร้างสรรค์งานด้วย ก็คงต้องพิจารณาดูที่ว่า เป็นการแสดงออก
หรือถ่ายทอดงานอันมีลิขสิทธิ์หรือไม่
แต่ถ้าหากเป็นผู้แสดงด้วย เป็นผู้สร้างสรรค์งานที่แสดงออกมาด้วย
ก็ต้องพิจารณาดูที่ว่างานนั้นอยู่ในสถานะของงานที่มีลิขสิทธิ์หรือไม่
เป็นงานสร้างสรรค์ประเภทใด ลำพังเพียงการเดินแบบเสื้อผ้าโดยไม่ปรากฏว่ามีการแสดงประกอบเป็นเรื่องราวอย่างไรตามข้อเท็จจริงในฎีกานี้
จึงยังไม่เข้าข่ายงานอันมีลิขสิทธิ์และก่อให้เกิดสิทธินักแสดงของผู้เดินแบบแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงตามฎีกานี้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นผู้เดินแบบแฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
การเดินแบบเป็นสิทธิของนักแสดง จำเลยนำภาพการเดินแบบของโจทก์
ไปลงโฆษณาในนิตยสารจึงเป็นการละเมิดสิทธิของนักแสดง
ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การเดินแบบไม่ใช่เป็นสิทธินักแสดง โจทก์ไม่ใช่นักแสดง
ซึ่งทางแก้ในเรื่องนี้ หากโจทก์ไม่ต้องการให้มีการนำภาพของโจทก์ไปใช้ประโยชน์หลายครั้งหรือใช้ประโยชน์ทางอื่นก็คงต้องตกลงรายละเอียดกันตามหลักสัญญาทั่วไปในการรับจ้างเดินแบบจึงจะเป็นการสมประโยชน์หรือตรงกับความต้องการของทุกฝ่าย
เช่นเดียวกับเงื่อนไขข้อตกลงในการจำหน่ายบัตรเข้าชมกีฬาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การแสดง
ผู้จัดจะกำหนดเงื่อนไขอนุญาตให้ผู้เข้าชมถ่ายภาพได้เฉพาะภายนิ่งเท่านั้น
ถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือถ่ายวิดีโอไม่ได้หากจะมาหวังพึ่งการคุ้มครองในขอบเขตของกฎหมายลิขสิทธิ์ก็ต้องเป็นกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นกรณีอยู่ในขอบข่ายของสิทธินักแสดงอย่างแท้จริง
สุพิศ ปราณีตพลกรัง