การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗
ความหมาย
การได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗ คือ การที่บุคคลหนึ่งเข้าแย่งการครอบครองที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ของบุคคลอื่นด้วยเจตนายึดถือครอบครองเป็นของตนเองเกินกว่า ๑ ปี
นับแต่เข้าแย่งการครอบครอง
ตัวอย่าง ผู้ขอจดทะเบียนมีหลักฐานการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้ขาย
และผู้ขอเป็นผู้ซื้อโดยสัญญาซื้อขายทำกันเอง ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อซื้อแล้ว ผู้ขายได้ส่งมอบการครอบครอง ผู้ขอ
(ผู้ซื้อ)
ได้เข้าครอบครองติดต่อกันมาเกิน
๑ ปีแล้ว
หรือผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่
ศาลฟังได้ว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองมาเกิน ๑
ปีแล้ว โจทก์ไม่ได้ฟ้องเอาคืนการครอบครอง จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองดีกว่าโจทก์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗ - ๑๓๗๕
ประเภทการจดทะเบียน
๑. ได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗ หมายความว่า
เป็นการจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองที่ดินทั้งแปลง
๒.
ได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗ เฉพาะส่วน หมายความว่า
หนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อบุคคลหลายคนเป็นเจ้าของ
มีการขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองเฉพาะส่วนของเจ้าของคนใดคนหนึ่งหรือหลายคน แต่ไม่ทั้งหมด
๓.
แบ่งได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
หมายความว่า
ผู้ได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๖
ได้สิทธิครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดไม่เต็มทั้งแปลง และขอรังวัดแบ่งได้มาโดยการครอบครอง โดยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่
สาระสำคัญ
การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
มีวิธีดำเนินการ ดังนี้
๑.
การได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
นั้น
ผู้ครอบครองย่อมไม่อาจมีคำขอฝ่ายเดียวเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าตนได้มาโดยการครอบครองได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกา ที่ ๗๖๗๙/ ๒๕๔๐) (ปัจุจบันศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า
“เนื่องจากที่ดินตามคำร้องขอเป็นที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดคงมีแต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3 ก.) เท่านั้น
ซึ่งไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่ฝ่ายเดียวได้”
(ฎีกา ๗๗๔๓/๒๕๕๕)
ในการจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครอง
จึงไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลมาประกอบการดำเนินการแต่อย่างใด
เพียงแต่ปรากฏว่าผู้ขอได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่จริง
พนักงานเจ้าหน้าที่ก็สามารถจดทะเบียนให้ได้ โดยถือปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดินตอบข้อหารือจังหวัดปราจีนบุรี ที่
มท ๐๖๑๒/๒/๑๕๑๔๐ ลงวันที่
๓ กันยายน ๒๕๑๗
เวียนให้ทุกจังหวัดทราบตามหนังสือกรมที่ดิน ที่
มท ๐๖๑๒/๒/ว ๑๕๔๗๖ ลงวันที่
๑๐ กันยายน ๒๕๑๗
๒.
การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗ เป็นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ตามความในมาตรา ๗๒
แห่ง ป.ที่ดิน
ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเจ้าของที่ดินมาขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และการจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวต้องอยู่ในบังคับของมาตรา ๗๕
แห่ง ป.ที่ดิน
โดยจะต้องจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งฉบับสำนักงานที่ดินและฉบับเจ้าของที่ดินให้ถูกต้องตรงกัน
หากไม่ได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นมาก็เป็นหน้าที่ของผู้ขอที่จะต้องขวนขวายนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินนั้นมาจดทะเบียน
ไม่อาจขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้
(หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท
๐๕๑๖.๒/ว ๑๒๖๗๓ ลงวันที่
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖)
๓.
กรณีมีผู้ขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗
โดยไม่สามารถนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
แต่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาอันถึงที่สุดเกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น
ๆ
หรือเป็นกรณีที่ผู้ใดมีสิทธิจดทะเบียนตามคำพิพากษาของศาล
และข้อเท็จจริงปรากฏตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลดังกล่าวว่า ศาลได้พิเคราะห์และวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและรับฟังได้ว่า
โจทก์หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น
พนักงานเจ้าหน้าที่ก็สามารถออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพื่อดำเนินการจดทะเบียนได้มา
โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗ ให้ได้ ตามนัยข้อ
๑๒ ประกอบกับข้อ ๑๗ (๓)
แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓
(พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗
หากปรากฏว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้มีการจดทะเบียนโอนไปยังบุคคลที่มิได้เป็นคู่ความในคดีไปก่อนที่ผู้ขอมาจดทะเบียนแล้ว
พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์
เพื่อดำเนินการจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองให้แก่ผู้ขอได้
เนื่องจากคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลนั้นไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกที่มิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย ทั้งนี้
ตามนัยมาตรา ๑๔๕ แห่ง ป.วิ แพ่ง
(หนังสือกรมที่ดินที่ มท ๐๕๑๖.๒/ว
๑๒๖๗๓ ลงวันที่ ๒๑
พฤษภาคม ๒๕๔๖)
๔.
เมื่อรับคำขอแล้ว
เจ้าหน้าที่ต้องออกไปรังวัดตรวจสอบว่าที่ดินที่ผู้ขออ้างว่ามีสิทธิครอบครอง
นั้น ตรงกับ น.ส.๓ หรือไม่ เพียงใด
การดำเนินการดังกล่าวอนุโลมปฏิบัติอย่างเรื่อง การตรวจสอบเนื้อที่ น.ส.๓
ตามระเบียบกรมที่ดิน
ว่าด้วยการแบ่งแยกและตรวจสอบเนื้อที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ พ.ศ.๒๕๒๙
๕.
พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนพยานที่เชื่อถือได้และเป็นผู้รู้เรื่องการครอบครองของผู้ขอดี ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงหรือเจ้าของที่ดินที่อยู่ในบริเวณเดียวกันกับผู้ปกครองท้องที่ไปร่วมเป็นพยานด้วย
๖.
ดำเนินการประกาศการขอจดทะเบียนตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗
(พ.ศ. ๒๔๙๗)ฯ
แม้เป็นที่ดินที่เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์แบบ น.ส. ๓
ก. ก็ต้องประกาศการขอจดทะเบียนเพื่อหาผู้คัดค้านด้วย
ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าผู้ขอได้ครอบครองจริงหรือไม่
๗.
เมื่อครบกำหนดประกาศแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้านก็ดำเนินการจดทะเบียนให้ผู้ขอได้
๘.
หากมีการคัดค้าน
ให้ดำเนินการดังนี้
(๑)
ให้สอบสวนพยานหลักฐานและพิจารณาคำคัดค้านก่อนว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่
โดยพิจารณาถึงสิทธิของผู้คัดค้านที่อ้างไว้ในคำคัดค้านว่า
เป็นสิทธิประเภทเดียวกันกับสิทธิที่จะมีการจดทะเบียนตามคำขอหรือไม่
หรือหากมีการจดทะเบียนตามคำขอแล้วจะกระทบต่อสิทธิของผู้คัดค้านหรือไม่
(๒)
หากพิจารณาแล้วปรากฏว่าสิทธิของผู้คัดค้านเป็นคนละประเภทกับสิทธิที่จะมีการจดทะเบียนตามคำขอ
หรือมีการจดทะเบียนตามคำขอแล้วไม่กระทบต่อสิทธิของผู้คัดค้านก็สมควรที่จะสั่งไม่รับคำคัดค้าน แล้วแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่อาจระงับการจดทะเบียนได้
เป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านจะต้องไปฟ้องร้องว่ากล่าวกันเอง และโดยที่คำสั่งไม่รับคัดค้านเป็นคำสั่งทางปกครอง
พนักงานเจ้าหน้าที่จึงต้องแจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งทางปกครองให้ผู้คัดค้านทราบ ตามมาตรา
๔๐ และ ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙
และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การแจ้งสิทธิในการฟ้องคดีปกครองตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
ซึ่งกรมที่ดินได้เวียนให้ถือปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดิน ที่
มท ๐๗๑๒/ว ๒๐๐๙๔
ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม
๒๕๔๔
เสร็จแล้วจึงดำเนินการจดทะเบียนให้กับผู้ยื่นคำขอต่อไป
(๓)
หากพิจารณาแล้วปรากฏว่าสิทธิของผู้คัดค้านเป็นประเภทเดียวกับสิทธิที่จะมีการจดทะเบียนตามคำขอ หรือมีการจดทะเบียนตามคำขอแล้วกระทบต่อสิทธิของผู้คัดค้าน
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการเปรียบเทียบทั้งสองฝ่าย ถ้าตกลงกันได้
ให้ทำเป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้วดำเนินการตามนั้น ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้งดดำเนินการไว้
แล้วแจ้งให้ทั้งสองฝ่ายไปจัดการฟ้องร้องว่ากล่าวกันต่อไป และเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงดำเนินการจดทะเบียนตามผลแห่งคำพิพากษา (หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๕๑๕/ว
๒๕๖๐๖ ลงวันที่ ๒๗
สิงหาคม ๒๕๔๗)
แนวทางการวินิจฉัยที่สำคัญเกี่ยวกับการครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗
๑.
การได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
ผู้ได้มาย่อมไม่อาจให้ศาลสั่งหรือพิพากษาว่า ได้มาโดยการครอบครอง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๕๐/๒๕๒๖)
การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗
จึงไม่ต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลประกอบเรื่องดำเนินการ
เพียงแต่ว่าผู้ขอได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่จริงก็สามารถจดทะเบียนได้ สำหรับกรณีของ ท. หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ท.ได้ครอบครองที่ดิน น.ส.๓ ก
อยู่จริงตามที่กล่าวอ้างแล้วก็สามารถจะขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในประเภท “ได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗“ อย่างไรก็ดี การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองดังกล่าว
จะต้องจดทะเบียนในที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว
และต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจริง
๒.
ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ซึ่งถือว่า
เจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง
ผู้เป็นเจ้าของสามารถส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้อื่นได้
แม้จะไม่ได้มีการจดทะเบียนผู้รับมอบการครอบครองก็ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินนั้น
ตามมาตรา ๑๓๖๗ แห่ง
ป.พ.พ. หรือในกรณีที่มีการแย่งการครอบครอง
ถ้ามีการแย่งการครอบครองมาครบกำหนดหนึ่งปีแล้ว
ผู้เป็นเจ้าของย่อมไม่อาจฟ้องขับไล่ออกได้
ตามมาตรา ๑๓๗๔ วรรคสอง แห่ง
ป.พ.พ. ผู้แย่งการครอบครองจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งการครอบครอง กรณีเช่นนี้
ผู้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองไม่อาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง หรือคำพิพากษาว่าได้มาโดยการครอบครองได้
แต่ผู้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองชอบที่จะมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในประเภท “ได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗“
๓.
กรณีที่ดินที่บริษัทขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗ เป็นที่ดินตาม น.ส.๓ ส่วนที่เหลือจากการออกโฉนดที่ดินจริง
ก็ต้องถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น
เมื่อบริษัทได้ครอบครองที่ดินโดยเจ้าของมิได้ฟ้องเรียกคืนที่ดินภายใน ๑
ปี บริษัทย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗ ประกอบมาตรา ๑๓๗๕
ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา
๑๓๖๗ โดยถือปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดิน
ที่ มท ๐๖๑๒/๒/ว
๑๕๔๗๖ ลงวันที่ ๑๐
กันยายน ๒๕๑๗
๔.
ท ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าที่ดินตาม
น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ ,
๒ , ๓
เป็นของ ท เพราะ อ และ จ
ได้ขายให้กับตนแล้วแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แต่ส่งมอบการครอบครองซึ่งตนได้ครอบครองการทำประโยชน์ตลอดมาเกิน ๑๐
ปีแล้ว
ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาว่า ท เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ก.
ทั้ง ๓ แปลง
ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงในสำเนาคำพิพากษาดังกล่าว ท
ไม่ได้ฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาให้ตนมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ก.
เลขที่ ๔,๕ ด้วยแต่อย่างใด
ถึงแม้ในคำพิพากษาจะปรากฏว่ามีการกล่าวอ้างว่า อ ได้นำที่ดิน
น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑,๒ และ ๓
มาขายให้โจทก์รวมกับที่ดินแปลงอื่นอีก
๒ แปลง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าที่ดิน ๒
แปลงนั้น คือ น.ส. ๓ ก.
เลขที่ใด และศาลก็ไม่ได้มีคำพิพากษาว่า
ท ได้สิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔,๕ ดังนั้น
จึงถือไม่ได้ว่า ท ได้มาโดยการครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก.
เลขที่ ๔,๕ ตามคำพิพากษาของศาล แต่โดยที่ที่ดินที่มีหลักฐานเป็น น.ส. ๓ ก.
เป็นที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า อ ได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่ ท และ ท ได้เข้าครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. ๓ ก
ดังกล่าวแล้ว ท.
ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๗/๒๕๓๕
และมีสิทธิขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๗ ลงใน น.ส. ๓ ก
เลขที่ ๔,๕ ตามนัยหนังสือกรมที่ดิน ที่
มท ๐๖๑๒/๒/ว ๑๕๔๗๖
ลงวันที่ ๑๐ กันยายน
๒๕๑๗
๕.
แม้ข้อเท็จจริงตามสัญญาจะซื้อจะขายจะฟังได้ว่า ท.
ผู้จะซื้อได้ชำระราคาซื้อขายที่ดิน
น.ส.๓ ก.๒ แปลง เป็นการครบถ้วน และ ฉ. ผู้จะขายยินยอมให้ ท.
เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดมานับแต่วันทำสัญญาแล้วก็ตาม แต่ ฉ.
และ ท. ก็ตกลงกันว่าจะไปทำการโอนที่ดินดังกล่าวภายในเวลา
๑ เดือน นับแต่วันทำสัญญา ซึ่งเห็นได้ว่า
ฉ.และ ท. มีเจตนาที่จะโอนสิทธิครอบครองใน น.ส.๓ ก. นั้นโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นการถูกต้องตามกฎหมาย การที่ ฉ.และ ท. ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่า ฉ.
มีเจตนาสละการครอบครองในที่ดินให้แก่
ท. แต่อย่างใด การที่
ท
เข้ายึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดมา เป็นการยึดถือครอบครองโดยอาศัยสิทธิของ ฉ.
ตามสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อ ฉ.
ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมีการจดทะเบียนสิทธิครอบครองในที่ดิน
ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของ ฉ. (เทียบคำพิพากษาฎีกา ที่
๔๕๖๗/๒๕๒๘) อย่างไรก็ดี ท.
ได้ใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายฟ้องขอให้ศาลบังคับ
ส.ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ฉ. โอนสิทธิครอบครองในที่ดินให้แก่ ท.
ซึ่งศาลก็สั่งไม่รับฟ้อง
โดยศาลฟังเพียงว่า
ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อผู้ตายได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ ที่ดินนั้นย่อมไม่เป็นมรดกของผู้ตาย ฟ้องโจทก์ไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.แพ่ง
มาตรา ๕๕ การที่ศาลสั่งไม่รับฟ้องโจทก์
แม้จะไม่ถือว่าศาลได้มีการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้วก็ตาม (เทียบคำพิพากษาฎีกา ที่
๓๙๖/๒๕๐๖)
ก็เป็นหลักฐานที่รับฟังได้ว่า
ท.
ได้เปลี่ยนเจตนาที่จะยึดถือที่ดินไว้แทนทายาทของ ฉ.
มาเป็นการยึดถือเพื่อตนเอง
แต่ระยะเวลาจากวันยื่นฟ้องถึงวันยื่นขอจดทะเบียน ”ได้มาโดยการครอบครอง” ตาม
ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๖๗ ท. ครอบครองที่ดินนี้ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งปี หาก
ท.
ยังคงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมาจนเวลาล่วงเลยเกินกว่าหนึ่งปี ท
ก็ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินนั้น
และชอบที่จะขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗ ได้
ในระหว่างที่ยังมิได้มีการจดทะเบียนให้
ท. ได้มาโดยการครอบครอง ถ้า
ส. ผู้จัดการมรดกของ ฉ.
ขอจดทะเบียนลงชื่อตนเป็นผู้จัดการมรดกหรือโอนมรดกต่อไปยังทายาท ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ ส. ทราบถึงการที่ ท.
ขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครอง
หาก ส. ทราบแล้วยังยืนยันให้จดทะเบียนผู้จัดการมรดกหรือโอนมรดกต่อไปยังทายาทของ
ฉ. ก็ให้บันทึกถ้อยคำ ส. ไว้เป็นหลักฐาน
แล้วดำเนินการจดทะเบียนผู้จัดการมรดกหรือโอนมรดกต่อไป ทั้งนี้
เนื่องจากการจดทะเบียนผู้จัดการมรดกและโอนมรดกนั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิครอบครองของ ท.
แต่อย่างใด แต่หาก ส.
ประสงค์จะขอจดทะเบียนนิติกรรมใด ๆ
ต่อไป ซึ่งต้องมีการประกาศ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ ท.
ทราบด้วย ถ้า ท.
คัดค้านก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่
๗ (พ.ศ.๒๔๙๗) ข้อ ๗
คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
๑.
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๖๐๙/๒๕๑๗
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ แล้วจำเลยที่
๑
ได้โอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ให้จำเลยที่ ๒
จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมและโอนที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ จำเลยที่
๒
ให้การต่อสู้ว่าได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและได้ครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบ เปิดเผย
ได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองแล้ว
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ จำเลยที่
๒
ต่อสู้เรื่องกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนที่พิพาทโดยตรง
เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๒
ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมาและได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิน ๑ ปี แล้ว
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนการครอบครอง
๒.
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๔๑๑,๑๔๑๒/๒๕๒๐ จำเลยครอบครองที่ดินอยู่ตลอดมา ต.
ออกโฉนดทับที่จำเลยซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ต. โอนขายแก่ผู้อื่นแล้วโอนต่อ
ๆ กันมาถึงโจทก์ จำเลยขอเพิกถอนส่วนที่ออกโฉนดทับที่จำเลยได้ ไม่ใช่เรื่องที่จำเลยครอบครองปรปักษ์ ไม่เข้ามาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง
และไม่ต้องห้ามฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๕
วรรคสอง
แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดิน
จึงบังคับให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดให้แก่จำเลยไม่ได้
๓.
คำพิพากษาฎีกา ที่ ๒๕๕๐/๒๕๒๖
……..ที่ดินมือเปล่าซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ดังเช่นที่ดินมีโฉนดตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา
๑ ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ครอบครองปรปักษ์เป็นเวลาสิบปีใช้สิทธิทางศาลให้แสดงกรรมสิทธิ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๘๒
แต่กรณีการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๖๗ ได้บัญญัติไว้แต่เพียงว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง“ กรณีของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่า
ผู้ร้องได้ใช้สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตามคำร้องขอนั้นเพื่อตนตลอดมา โดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดโต้แย้งสิทธิ
ผู้ร้องย่อมได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่ผู้ร้องจะต้องมาใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองสิทธินั้นอีก
๔.
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๖๗/๒๕๒๘ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน น.ส. ๓
เมื่อผู้ซื้อชำระราคาให้แก่ผู้ขายครบถ้วน
แม้ผู้ขายจะได้มอบ น.ส.๓ กับให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแล้วก็ตามแต่เมื่อผู้ซื้อชำระราคางวดสุดท้ายแก่ผู้ขาย
ผู้ขายแจ้งว่าจะไปโอนที่พิพาทให้ใน ๑ เดือน
แสดงว่าผู้ซื้อและผู้ขายมีเจตนาที่จะโอนสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ฟังไม่ได้ว่าผู้ขายมีเจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ดังนี้
การที่ผู้ซื้อยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมานั้นเป็นการยึดถือครอบครองโดยอาศัยสิทธิของผู้ขายตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการยึดถือครอบครองแทนผู้ขาย เมื่อผู้ขายถึงแก่ความตาย ผู้ซื้อติดต่อทายาทให้ไปจัดการโอนที่พิพาททายาทปฏิเสธ
ผู้ซื้อก็หาได้ใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับทายาทให้โอนสิทธิครอบครองในที่พิพาทให้แก่ผู้ซื้อแต่อย่างใด
สิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงยังเป็นของทายาทผู้ขาย
ผู้ซื้อเพียงแต่ครอบครองไว้แทนจนกว่าจะได้จดทะเบียนโอนกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อนจึงจะได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทเป็นของตน
๕.
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๘/๑๕๓๗
ผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่มีแต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.๓) และแบบแจ้งการครอบครอง
(ส.ค.๑) เท่านั้น เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลได้
๖.
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๗๙/๒๕๔๐ กรณีที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๕๕ ต้องเป็นกรณีจำเป็นจะต้องมาร้องขอต่อศาล
เพื่อให้ได้รับความรับรองหรือคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่โดยจะต้องมีกฎหมายระบุไว้แจ้งชัดให้กระทำได้
แต่ที่ผู้ร้องอ้างเหตุผลมาในคำร้องว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่ดินตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗ และเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้น
หาได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่ฝ่ายเดียวได้ หากผู้ร้องเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองในที่ดินและถูกโต้แย้งสิทธิประการใด
ก็ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องอันเป็นคดีมีข้อพิพาท
หาใช่เสนอคดีโดยทำเป็นคำร้องขออันเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทไม่
๗. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๑๕/๒๕๔๑
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า
ความเป็นเจ้าของจึงต้องพิจารณาจากแนวเขตที่ดินที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือครอบครอง น.ส.๓ ก
ของจำเลยเป็นเพียงคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้วเท่านั้น
ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่ดินส่วนที่มิได้ยึดถือครอบครอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดิน น.ส.๓ ก
ด้านที่อยู่นอกเขตการยึดถือครอบครองของฝ่ายจำเลยและเมื่อโจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของตนที่ดินตาม น.ส.๓ ก
ในส่วนที่จำเลยมิได้ยึดถือครอบครองจึงเป็นที่ดินของโจทก์
เมื่อจำเลยคงเป็นเจ้าของที่ดินเฉพาะส่วนที่จำเลยยึดถือครอบครองในกรอบเส้นสีดำประในแผนที่พิพาท
เว้นแต่ที่ดินในกรอบเส้นสีดำประ
และให้เพิกถอน น.ส.๓ ก ของจำเลยเฉพาะส่วนที่โจทก์ครอบครองที่ดิน
กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
๘. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๕๒/๒๕๔๑
จำเลยเป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท แต่ไม่เคยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อน
จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
ส่วนบิดาโจทก์ทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน มิได้ยึดถือเพื่อจำเลย
บิดาโจทก์ทั้งสองเป็นคนต่างด้าวจะได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามกฎหมายหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของบิดาโจทก์ทั้งสอง ไม่เกี่ยวกับจำเลย
และไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อโจทก์ทั้งสองในการรับโอนการครอบครองมา
๙.
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๔๒/๒๕๔๔ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีเอกสาร ภ.บ.ท.๕
แต่ยังไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
การที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าในที่ดินพิพาทเพื่อรังวัดและนำเสาซีเมนต์ไปปักไว้
๒ ต้น
ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
ส่วนการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทไม่ใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ภริยาโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้ซื้อที่ดินก็ไม่เคยเข้าไปดูแลเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
คงมอบให้โจทก์เข้าไปดูแลแทนหรือกระทำการแทนเท่านั้น เช่นนี้
โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร
ค่าธรรมเนียม
การจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๗
ถือเป็นการจดทะเบียนประเภทมีทุนทรัพย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ร้อยละ
๒ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่
๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.
๒๔๙๗ ข้อ ๒ (๗)
(ก)
ภาษีเงินได้หัก ณ
ที่จ่าย
ไม่ต้องเรียกเก็บ
เพราะถือว่าเจ้าของสิทธิครอบครองเดิมไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ถือว่าอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ได้มาโดยการครอบครอง เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๓๙
แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้สิทธิครอบครองจะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ตามปกติ ( ข้อ ๑๐ (๖) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.
๑๐๐/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๔๓ เรื่อง
การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์กรณีขายการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์)
อากรแสตมป์ ไม่ต้องเรียกเก็บ
ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
–––––––––––––––––––––––