โจทก์เป็นลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็น ผู้รับจ้าง ตาม สัญญาจ้างทำของ
หมายเหตุท้ายฎีกา
๕๑/๒๕๓๗
คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้
วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องโจทก์เป็นลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็น ผู้รับจ้าง
ตาม สัญญาจ้างทำของ ซึ่งมีข้อพิจารณาดังนี้
1. หากเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน
ย่อมอยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวเช่นมีสิทธิเกี่ยวกับเรื่องวัน
เวลาทำงาน ได้ค่าล่วงเวลา มีสิทธิหยุดงานในวันหยุดต่าง ๆ
มีสิทธิในการลาเมื่อได้รับบาดเจ็บจะได้เงินทดแทน
ได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ถ้าถูกเลิกจ้างก็มีสิทธิได้ค่าชดเชย
เป็นต้น นอกจากนี้หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น
ถือว่าเป็นคดีแรงงานซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
พ.ศ. 2522 มาตรา 8
2. หากเป็นผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
ก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะจ้างทำของ ซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน
เช่น
เมื่อถูกเลิกจ้างก็ไม่มีสิทธิได้ค่าชดเชยและเมื่อมีข้อพิพาทก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดศาลแพ่ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือศาลแพ่งธนบุรี แล้วแต่กรณี
3.
กรณีที่มีปัญหาว่าข้อพิพาทนั้นเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ
ซึ่งศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้หรือไม่นั้น
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด
เมื่อมีคำวินิจฉัยแล้วย่อมเป็นที่สุด
(พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 9)
4. สัญญาแรงงาน
มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 575 ว่า
"อันว่าจ้างแรงงานนั้น
คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง
เรียกว่านายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้"สาระสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน
1. บุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่านายจ้าง
อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน
2.
นายจ้างตกลงให้ลูกจ้างทำงานและจ่ายค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงาน
3.
ลูกจ้างตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง
4. นายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชาลูกจ้าง
เรื่องนายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชานั้น
ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่านายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชาแต่มีกฎหมายบัญญัติรับรองอำนาจบังคับบัญชาของนายจ้างไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
583 ว่า
"ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดีหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดีละทิ้งการงานไปเสียก็ดี
กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี
หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี
ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้"
และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่
14)ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2536 ข้อ 47 บัญญัติว่า
"นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด
ดังต่อไปนี้
(4)
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม
และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว
ซึ่งหนังสือเตือนนั้นต้องมีผลบังคับไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้รับทราบหนังสือเตือน
เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำต้องตักเตือน"
หลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
แสดงให้เห็นว่านายจ้างมีอำนาจออกคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมให้ลูกจ้างทำงาน
หากลูกจ้างฝ่าฝืน นายจ้างมีอำนาจลงโทษลูกจ้างได้
สรุปแล้วอำนาจบังคับบัญชาของนายจ้างมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1)
นายจ้างมีอำนาจออกคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายให้ลูกจ้างทำงานได้
2) นายจ้างมีอำนาจลงโทษ
ลูกจ้างที่ฝ่าฝืนคำสั่งได้
5. สัญญาจ้างทำของ
มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 587 ว่า "อันว่าจ้างทำของนั้น
คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้างตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง
เรียกว่า
ผู้ว่าจ้างและผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น"สาระสำคัญของจ้างทำของ
1. บุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า
ผู้ว่าจ้าง อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน
2.
ผู้ว่าจ้างตกลงให้ผู้รับจ้างทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จโดยจ่ายสินจ้าง
3.
ผู้รับจ้างตกลงทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ให้แก่ผู้ว่าจ้างโดยรับสินจ้าง
6.
เปรียบเทียบสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของ
6.1 ข้อที่เหมือนกัน
6.1.1 บุคคล 2 ฝ่ายตกลงกัน
6.1.2
ฝ่ายหนึ่งตกลงให้ทำงานและจ่ายสินจ้าง
6.1.3
อีกฝ่ายหนึ่งตกลงทำงานให้และรับสินจ้าง
6.1.4 เป็นสัญญาต่างตอบแทน
6.1.5 เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ
6.2 ข้อที่แตกต่างกัน
6.2.1 สัญญาจ้างแรงงาน
นายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชา
สัญญาจ้างทำของ
ผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับบัญชา
6.2.2 สัญญาจ้างแรงงาน
ลูกจ้างต้องมาทำงานตามวันเวลาที่นายจ้าง
กำหนด ไม่จำต้องทำงานจนสำเร็จ
สัญญาจ้างทำของ ผู้รับจ้างจะทำงานเมื่อใด เวลาใดก็ได้ แต่ต้องทำงานจนสำเร็จ
ข้อแตกต่างทั้งสองประการดังกล่าว
ข้อที่สำคัญที่สุดที่สามารถแยกให้ทราบว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ
คืออำนาจบังคับบัญชา กล่าวคือ
หากมีอำนาจบังคับบัญชาแล้วเป็นสัญญาจ้างแรงงานหากไม่มีอำนาจบังคับบัญชาแล้วก็เป็นสัญญาจ้างทำของ
กรณีที่อาจทำให้เข้าใจสับสนก็คือ
ผู้รับทำงานให้ต้องทำงานจนสำเร็จ
และได้รับค่าตอบแทนตามผลสำเร็จของงานซึ่งเป็นลักษณะของสัญญาจ้างทำของ
แต่ผู้ให้ทำงานมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือผู้ทำงานเช่นนี้
จะเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ ก็ตอบได้ว่า กรณีดังกล่าว ถือว่า
เป็นสัญญาจ้างแรงงาน เพราะ ถืออำนาจบังคับบัญชาเป็นข้อสำคัญ
ซึ่งเรียกลูกจ้างประเภทนี้ว่า "ลูกจ้างตามผลงาน"
7. ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่
51/2537 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจสั่งการคือกำหนดเวลาทำงาน
และตรวจสอบเวลาทำงานของโจทก์ หากโจทก์ฝ่ามือ เช่น ขาดงาน หรือมาทำงานสายจำเลยที่ 1
มีอำนาจหักรายได้ของโจทก์ได้ ซึ่งเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 1
มีอำนาจสั่งให้โจทก์ทำงานและมีอำนาจลงโทษโจทก์เมื่อโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งเช่นนี้
ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์
จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานโดยโจทก์เป็นลูกจ้างประเภทลูกจ้างตามผลงาน
โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเมื่อจำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าชดเชย
รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์