เงินเยอะ ซื้อที่ดินมือเปล่าทิ้งไว้ (ภ.บ.ท.5 หรือ สทก.) แต่ไม่ได้ครอบครองตามความเป็นจริง จะฟ้องขับไล่ เอาที่ดิน คืนได้ไหม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4993/2554
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน ตำบลเกาะพยาม อำเภอ
เมืองระนอง จังหวัดระนอง
เนื้อที่ประมาณ 115
ไร่ ในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ
"ป่าเกาะพยาม"
ซึ่งทางราชการออกเอกสารสิทธิทำกิน (สทก.) ให้แก่ราษฎร
ที่ทำประโยชน์หรืออาศัยอยู่ในเขตที่ดินดังกล่าว
โดยซื้อสิทธิทำกินมาจากนายสามารถ
แตงทอง นายศักดิ์ชาย
แตงทอง นายนิตย์ แตงทอง และนายบุญยืน
แตงทอง
เมื่อต้นปี 2533
หลังจากซื้อแล้วโจทก์ใช้ประโยชน์ด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มเติมทำนุ
บำรุงต้นไม้ที่มีอยู่เดิม เก็บผลไม้
เช่น มะพร้าวและสมุนไพรในที่ดินมาโดยตลอด ประมาณ
ต้นปี 2544
จำเลยและบริวารได้เข้ามาบุกรุกที่ดินบางส่วนที่โจทก์ซื้อสิทธิมาบริเวณ
ที่ติดกับทะเลด้วยการตัดฟันต้นไม้ปรับสภาพดินและปลูกสร้างบ้างพักตากอากาศ
ประมาณ 6
ถึง 7
หลัง ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือ
บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
ออกไป และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน
2,000,000
บาท แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามา
รบกวนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์
ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
ออกจากที่ดินพิพาทแล้วปรับสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม
กับชำระค่าเสียหายเป็นเงิน
2,000,000
บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า
โจทก์ไม่ใช่ผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามฟ้อง เมื่อปี
2538
จำเลยพบว่าบริเวณที่ดินตามแผนผังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
เป็นที่
ว่างเปล่าที่ชาวบ้านปลูกพืชผลไม้
จึงขอซื้อที่ดินดังกล่าวประมาณ 17
ไร่ จากนาย
สามารถ แตงทอง ผู้ครอบครอง
แล้วครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนา
เป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงกลางปี 2539
จึงได้โอนสิทธิในที่ดินและพืชผลดังกล่าว
ให้แก่นายโพธิ์ ไกรวนากุล
และหลังจากโอนไปแล้วจำเลยไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก
ที่โจทก์ฟ้องว่าต้นปี 2544 จำเลยเข้าไปตัดฟันต้นไม้และปลูกบ้านพักตากอากาศ
จึงไม่เป็นความจริง เมื่อที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ของจำเลยและจำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดิน
โจทก์
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายโพธิ์ ไกรวนากุล เข้าเป็น
จำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า เมื่อปี 2525 จำเลยร่วม นายสามารถ แตงทอง
และนายศักดิ์ชาย แตงทอง
ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามแผนผังที่ดิน
เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
เฉพาะส่วนที่เป็นของนายสามารถและนายศักดิ์ชาย
ต่อมาปี 2526
กรมป่าไม้ประกาศให้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณดังกล่าว
ยื่นคำขอออกหนังสือสิทธิทำกิน (สทก.1)
ได้
จำเลยร่วมให้นายสามารถและนาย
ศักดิ์ชายยื่นคำขอออกหนังสือทำกินโดยใส่ชื่อนายสามารถและนายศักดิ์ชาย
เป็นผู้ทรงสิทธิแทน
แต่จำเลยร่วมเป็นผู้ครอบครองด้วยการก่อสร้างที่พัก ปลูกมะพร้าว
มะม่วงหิมพานต์
และทำประโยชน์มาตลอดโดยไม่เคยเห็นโจทก์หรือบริวารของโจทก์
เข้ามายุ่งเกี่ยว ต่อมากลางปี 2539
จำเลยร่วมได้รับโอนที่ดินพร้อมต้นไม้
ทางด้านหนังลึกเข้าไปอีก 17
ไร่ แล้วเข้าทำประโยชน์โดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนา
เป็นเจ้าของตลอดมา
โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิ
เรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยและจำเลยร่วมพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
ในที่ดินพิพาท
ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจาก
ที่ดินพิพาท
ปรับสภาพที่ดินพิพาทให้เหมือนเดิมและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน
100,000
บาท แก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ทั้งสองศาลแทนจำเลยและจำเลยร่วม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า
ที่ดินพิพาทเป็นที่ชายทะเลซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
แต่มีราษฎรเข้าไปอยู่อาศัย
ทางราชการกรมป่าไม้จึงออกเอกสารสิทธิทำกิน
(สทก.1) ให้แก่ราษฎรเหล่านั้น
หลังจากได้สิทธิทำกินแล้วปรากฏว่ามีการโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอก
ที่มิได้อาศัยอยู่บนที่ดินจริง
เมื่อปี 2542 จำเลยร่วมเข้าไปปลูกบ้านพักตากอากาศ
ประมาณ 6
หลัง บริเวณชายทะเลอ่าวเขาควาย โดยอ้างว่าได้รับการยกให้ที่ดิน
จากนายเสงี่ยม แตงทอง ผู้ครอบครองเดิมและบางส่วนได้ซื้อต่อจากจำเลย
หลังจาก
จำเลยร่วมก่อสร้างเสร็จแล้ว ประมาณปลายปี
2543
โจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพ
มหานครได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ดินบริเวณที่จำเลยร่วมปลูกบ้านพักตากอากาศนั้น
เป็นของตนโดยซื้อมาจากนายสามารถ แตงทอง
และญาติของนายสามารถ ขอให้จำเลย
และจำเลยร่วมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของ
โจทก์มีว่า
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสามารถและญาติหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิ
ครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า
ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของรัฐนั้น
ราษฎรไม่อาจ
ยกสิทธิใดๆ ขึ้นยันรัฐได้
แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันเอง
แต่ละฝ่ายอาจยกสิทธิครอบครอง
ขึ้นยันกันได้
หากฝ่ายใดยึดถือที่ดินพิพาทไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367
ฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะขัดขวางไม่ให้
อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกเข้ามารบกวนการครอบครองของตนตามมาตรา
1374
ได้ ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่ว่า
โจทก์ได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนา
จะยึดถือเพื่อตนนับแต่เวลาที่อ้างว่าได้ซื้อที่ดินมาจากนายสามารถตลอดมาจนถึงมี
การก่อสร้างบ้านพักตากอากาศภาพถ่ายหมาย
ล.1 หรือไม่
ซึ่งการยึดถือที่จะได้
สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1367
นั้นจะต้องเป็น
การเข้าไปยึดถือครอบครองตามความเป็นจริง คือมีการอยู่อาศัยทำประโยชน์บนที่ดิน
ที่ครอบครองพร้อมแสดงอาณาเขตแห่งการยึดถือครอบครองต่อบุคคลภายนอก
อย่างชัดเจน หากจะให้ผู้อื่นยึดถือแทน
ผู้ยึดถือแทนก็ต้องยึดถือครอบครองทรัพย์สินนั้น
ตามความเป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน
แต่คดีนี้ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า โจทก์มี
ภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานครได้เดินทางไปดูที่ดินพิพาทเพียงปีละประมาณ
2 ถึง 3
ครั้ง
เท่านั้น ส่วนที่เบิกความว่า
โจทก์มอบหมายให้นายธวัช ขวัญยุบล
ผู้รับมอบอำนาจ
โจทก์เป็นผู้ดูแลเป็นหลัก นายธวัชผู้รับมอบอำนาจโจทก์ก็เบิกความว่า
ได้เข้าไปดู
สามเดือนบ้าง หกเดือนบ้าง
ซึ่งลักษณะการไปกูแลของนายธวัช ได้ความจากคำเบิก
ความของนายสาอีด อาจหาญ
คนขับเรือจ้างที่นายธวัชว่าจ้างให้ไปส่งที่เกาะพยามว่า
เมื่อนายสาอีดไปส่งแล้วก็จะรอรับนายธวัชกลับมาด้วย
แสดงว่านายธวัชผู้รับมอบ
อำนาจโจทก์ก็ไม่ได้ดูแลก็ในลักษณะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเช่นกัน
สำหรับการ
ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยและจำเลยร่วมถามค้านว่า
ได้สั่งให้คนนำมะพร้าวไปปลูกแซมบางส่วน
แต่ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่า
ต้นมะพร้าวที่ว่านั้นอยู่ตรงส่วนใดของที่ดินพิพาทและในช่วงเกิดเหตุต้นมะพร้าวนั้น
มีสภาพเช่นใด หรือผู้ใดเป็นคนปลูก
คำเบิกความของโจทก์ในส่วนการทำประโยชน์
จึงเป็นคำเบิกความที่เลื่อนลอย
ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นความจริงได้ การแสดงอาณาเขต
ที่ดินที่อ้างว่าครอบครอง
โจทก์และจ่าสิบเอกสมนึก ทับเคลียว ผู้ที่โจทก์ใช้ให้ไปปิด
รั้วลวดหนามบริเวณที่ดินพิพาทก็เบิกความตรงกันว่าจ่าสิบเอกสมนึกได้ดำเนินการ
ปิดเฉพาะด้านริมคลองที่ติดกับทะเลเท่านั้น
ส่วนด้านหลังไม่ได้ปิดเพราะเป็นพื้นที่
ลึกเข้าไปอันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้แสดงอาณาเขตที่ดินที่อ้างว่ามีการครอบครอง
ให้ปรากฏชัดแจ้งแต่อย่างใด
จากทางนำสืบของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ยึดถือ
ครอบครองที่ดินพิพาทไว้เพื่อตนตามความเป็นจริง
ลำพังเพียงโจทก์ซื้อที่ดินพิพาท
จากนายสามารถและญาติซึ่งอ้างว่ามีสิทธิทำกินนั้น
ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครอง
ตามกฎหมายแต่อย่างใด
เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาท โจทก์ก็ย่อม
ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดินพิพาท
กรณีไม่จำต้องวินิจฉัย
ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสามารถและญาติหรือไม่
เพราะไม่ทำให้ผลของคดี
เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8
วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้ครอบครองเดิมและพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่า
โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองนั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(พิศล
พิรุณ - พันวะสา
บัวทอง - นวลน้อย
ผลทวี)
ณัฏฐ์พงษ์ สมศักดิ์ - ย่อ
ศิริชัย ศิริกุล - ตรวจ