รถถูกขโมยไปจากคอนโด ใครต้องรับผิดชอบ
มีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้ 2 คดีทำนองเดียวกันว่า นิติบุคคลอาคารชุด ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะไม่ใช้ทรัพย์ส่วนกลาง แต่บริษัทรักษาความปลอดภัยที่นิติบุคคลจ้างมานั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าฝ่าฝืนระเบียบการป้องกันรักษาความปลอดภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2369/2557
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อและครอบครองรถยนต์ ยี่ห้อ โตโยต้า หมายเลขทะเบียน สฬ 9768
กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด
จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 จำเลยที่ 3 ทำสัญญาว่าจ้างให้จำเลยที่
2 ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สิน ที่อยู่ภายในอาคารชุดจำเลยที่ 3 นายสมบูรณ์
วันสว่างเมือง เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 8/219
ซึ่งอยู่ภายในอาคารชุดจำเลยที่ 3 ชั้น 17
โจทก์มอบหมายให้นายสมบูรณ์ครอบครองใช้รถยนต์ของโจทก์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553
เวลาประมาณ 2 นาฬิกา นายสมบูรณ์ขับรถยนต์
คันพิพาทเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถภายในอาคารชุดจำเลยที่ 3 จนเวลา 11.45 นาฬิกา
นายสมบูรณ์จึงทราบว่ารถยนต์คันพิพาทถูก คนร้ายลักไป จากการตรวจสอบจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของจำเลยที่
3 พบว่ามีคนร้ายลักรถยนต์ไปเมื่อเวลา 11.30 นาฬิกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1
ปฏิบัติหน้าที่พนักงานรักษาความปลอดภัยในอาคารชุดจำเลยที่ 3
การที่รถยนต์คันพิพาทถูกคนร้ายลักไปเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่
1 ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานและบัตรจอดรถจากบุคคลที่นำรถเข้าออก แต่จำเลยที่ 1
ละเลยไม่ตรวจสอบหลักฐานตามระเบียบ คนร้ายจึงลักรถยนต์ของ โจทก์ออกไปได้
การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นตัวการของจำเลยที่ 2
ดังนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์
โดยต้องร่วมกันคืนรถยนต์ที่ถูกคนร้ายลักไป หากคืนไม่ได้ต้องใช้ราคาเป็นเงิน
370,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 3,193 บาท
ค่าขาดประโยชน์นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้อง 42 วัน เป็นเงิน 21,000 บาท
รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 394,193 บาท ขอ
ให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันคืนรถยนต์คันพิพาทหรือ
ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 394,193 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะ
โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ถูกลักไปมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลย ที่ 1
และที่ 2 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้
ปฏิบัติตามระเบียบในการตรวจสอบและให้ผู้นำรถยนต์ที่เข้าออกอาคาร
ทุกคันต้องแลกบัตรทุกครั้ง แต่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือโดยไม่ยอม แลกบัตร
อีกทั้งโจทก์ยังยินยอมให้บุคคลหลายคนใช้รถยนต์จนไม่อาจ
ทราบได้แน่ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่แท้จริง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้อง
รับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เพราะ จำเลยที่ 3
มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางซึ่งหมายถึงส่วน
ของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด และที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมเท่านั้น
เมื่อรถยนต์ที่สูญหายเป็นทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลมิใช่ทรัพย์ส่วนกลาง
จำเลยที่ 3 ย่อมไม่มีหน้าที่ดูแลรักษา อีกทั้งจำเลยที่ 3 มิใช่ ตัวการของจำเลยที่
2 แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 เพียงแต่จัดจ้างจำเลยที่ 2
ให้ดูแลความปลอดภัยในอาคารชุดตามข้อบังคับของจำเลยที่ 3 อันเป็น
การกระทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมทุกคน จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรืแทนกันคืน
รถยนต์พิพาทแก่โจทก์ หรือร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย 250,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกัน
หรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
เฉพาะค่าธรรมเนียม (ที่ถูก ค่าขึ้นศาล) ให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับ จำเลยที่3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3
ในศาลชั้น ต้น และค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้
เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันใน
ชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อและครอบครองรถยนต์ หมายเลขทะเบียน
สฬ 9768 กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มอบให้นายสมบูรณ์
วันสว่างเมือง เป็น ผู้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว
นายสมบูรณ์เป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 8/219 ในอาคารชุดเซ็นทรัล รัชโยธิน
ปาร์ค ตามหนังสือสัญญาขาย ห้องชุดเอกสารหมาย จ.6 จำเลยที่ 3
เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3
ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการรักษาความปลอดภัยที่อาคารชุดเซ็นทรัล รัชโยธิน ปาร์ค
มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 สิ้นสุดวันที่ 1 ธันวาคม 2553
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเอกสาร หมาย จ.4 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553
เวลาประมาณ 2 นาฬิกา นายสมบูรณ์ขับรถยนต์ของโจทก์ไปจอดไว้ที่ชั้น 5 ของอาคารจอดรถ
ภายในอาคารชุดเช็นทรัล รัชโยธิน ปาร์ค ต่อมาเวลา 11.30 นาฬิกา
มีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป โดยในช่วงเวลานั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่
2 ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2
รักษาความปลอดภัยที่บริเวณทางเข้าออกของอาคารจอดรถด้วยความ
ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้คนร้ายลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้อันเป็น การละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ในผลแห่งละเมิดนั้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ต้อง ร่วมกับจำเลยที่
1 และที่ 2 รับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3
มิได้มีหน้าที่ดูแลเพียงอาคารจอดรถซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลาง เท่านั้น แต่จะต้องดูแลรถยนต์ของโจทก์ที่จอดอยู่ในอาคารจอดรถนั้น
ด้วย ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 2 ดูแลรักษาความ
ปลอดภัยโดยใช้เงินจากค่าใช้จ่ายส่วนกลางและมีการวางมาตรการใน
การรักษาความปลอดภัยต่าง ๆเป็นการแสดงออกให้เข้าใจได้ว่าเป็น
ไปเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สินและความปลอดภัยของผู้พักอาศัยใน อาคารชุดด้วย เมื่อจำเลยที่
2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 ได้กระทำ ละเมิดต่อโจทก์ภายในขอบวัตถุประสงค์ที่จำเลยที่
3 มอบหมายสั่งการ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า พระราช
บัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 4 วรรคสี่ บัญญัติว่า ทรัพย์ส่วนกลาง หมายความว่า
ส่วนของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วม
ส่วนการจัดการทรัพย์ส่วนกลางต้องเป็นไป ตามมาตรา 17,33,36 และ 37 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ
จัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดตามมติเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินั้นและตามข้อบังคับโดยมี
ผู้จัดการหรือคณะกรรมการเป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลาง ดังนี้
ย่อมเห็นได้ว่านิติบุคคลอาคารชุดไม่มีหน้าที่รักษาทรัพย์ส่วนบุคคลแต่ ประการใด
จำเลยที่ 3 จึงมีเพียงหน้าที่ในการจัดการและดูแลรักษา
ทรัพย์ส่วนกลางของอาคาชุดที่เกิดเหตุ รวมทั้งมีอำนาจกระทำการใดๆ
เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวตามข้อบังคับและมติของเจ้าของร่วมเท่านั้น
ซึ่งสอดคล้องกับข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด เอกสารหมาย จ.5 ที่ระบุในข้อที่ 6
ว่า จำเลยที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดและให้มีอำนาจกระทำการ
ใด ๆ ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพักอาศัยและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางร่วมกัน
สัญญาที่จำเลยที่ 3 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 รักษาความปลอดภัยเอกสารหมาย จ.4
ก็มีข้อความระบุชัดเจนในข้อ 1. ว่า จำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 2
รักษาความปลอดภัยให้แก่บรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่ 3
ซึ่งย่อมหมายถึงทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเซ็นทรัล รัชโยธิน ปาร์ค เท่านั้น
ไม่รวมไปถึงรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของโจทก์ในความครอบครองของนายสมบูรณ์แต่อย่างใด
แม้จะได้ความตามคำเบิกความของนางสาวรุ่งทิพย์ ศุภนัตร์ ผู้จัดการอาคารชุด จำเลยที่
3 ว่า ภายหลังทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 3
ได้แจ้งระเบียบรักษาความปลอดภัยซึ่งได้มาจากการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินจากคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและเจ้าของร่วม
เช่น การตรวจสอบสติ๊กเกอร์ที่ติดรถยนต์ การรับบัตรอนุญาตจอดรถยนต์ และการตรวจสอบ
การขนของเข้าออกอาคารตามระเบียบรักษาความปลอดภัยเอกสาร หมาย ล.10 แต่ก็เป็นเพียงมาตรการให้เกิดความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยในอาคารชุด
ทั้งเป็นการควบคุมผู้ใช้สอยอาคารจอดรถ ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางในอาคารชุด
มิให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้ เท่านั้น
หาได้มีความหมายครอบคลุมไปถึงการรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์ส่วนบุคคลของผู้ใดเพราะไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่
3 พฤติการณ์เช่นว่านั้นจึงไม่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่ 3 ในอันที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่รถยนต์อันเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของร่วมดังที่โจทก์อ้าง
คำพิพากษาฎีกาต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างมา ในฎีกา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 3 ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2
รักษาความปลอดภัยมีลักษณะเป็นการทำแทนเพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทุกคนในอาคารชุดรวมทั้ง
นายสมบูรณ์ผู้ครอบครองรถยนต์ของโจทก์ด้วย เงินที่ใช้ในการว่าจ้าง จำเลยที่ 2
ก็มาจากเงินที่เจ้าของร่วมทุกคนชำระเป็นเงินกองทุนและ
เงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางนั่นเอง ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์เนื่องจากจำเลยที่
1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของร่วมในการว่าจ้างจำเลย ที่ 2
รักษาความปลอดภัยก็ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษามานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(เมทินี ชโลธร
ณัฏฐชัย ไวยภาษจีรกุล สุพจน์ กิตติรักษนนท์)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259/2551
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์เป็นเจ้าของห้องชุดในอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท
และเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9
อ-1867 กรุงเทพมหานคร
ขณะเกิดเหตุมีราคา 800,000
บาท จำเลยที่ 1
เป็นนิติบุคคลอาคารชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522
มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดดังกล่าว จำเลยที่ 2
เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3
เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด
มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการรักษาความปลอดภัยและรับจ้างจำเลยที่ 1
โดยจำเลยที่ 2
มีหน้าที่จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดจนควบคุมดูแลการนำรถยนต์เข้าจอดในอาคารชุดดังกล่าว
เมื่อวันที่ 6
เมษายน 2540
เวลาประมาณ 20
นาฬิกา ถึงเช้าวันที่ 7
เมษายน 2540
มีคนร้ายเข้าไปลักรถยนต์ของโจทก์คันดังกล่าว
ซึ่งจอดอยู่ในอาคารชุดดังกล่าวไปโดยคนร้ายได้ขับรถผ่านป้อมยามทางเข้าออกของอาคารซึ่งมีจำเลยที่
4 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3
กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ แต่จำเลยที่ 4
เห็นบุคคลภายนอกขับรถยนต์ของโจทก์แล้วมิได้เรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบผู้ขับหรือสอบถามเหตุผลในการเข้าออกจากอาคารชุดดังกล่าวตามหน้าที่
เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้ การกระทำของจำเลยที่ 4
จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3
ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 4
ซึ่งเป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างส่วนจำเลยที่ 1
และที่ 2
ต้องร่วมกันรับผิดในฐานะผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 3
ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 800,000
บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี นับแต่วันที่ 7
เมษายน 2540
เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 60,000
บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า
จำเลยทั้งสี่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท
เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว จำเลยที่ 1
ไม่ได้เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 3
ผู้ว่าจ้างคือจำเลยที่ 2
แต่การที่จำเลยที่ 2
ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 3
เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งผู้รับจ้างหรือลูกจ้างของผู้รับจ้างกระทำไปนอกจากนี้จำเลยที่
4
ไม่มีหน้าที่เรียกผู้ขับรถยนต์ที่เข้าออกอาคารชุดดังกล่าวให้หยุดเพื่อตรวจสอบ
โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๙ อ-1867
กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ของโจทก์ไม่ได้สูญหาย ทั้งมีราคาไม่เกิน 50,000
บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม
นางสุมลรัตน์ภริยาโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3
และที่ 4
ร่วมกันชำระเงินจำนวน 350,000
บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 7
เมษายน 2540
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 3
และที่ 4
ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000
บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
และที่ 2
ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1
และที่ 2
ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3
และที่ 4
อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3
และที่ 4
ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000
บาท
จำเลยที่ 3
และที่ 4
ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว
ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9
อ-1867 กรุงเทพมหานคร
และห้องชุดในอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท เมื่อวันที่ 6
เมษายน 2540
เวลา 20.30
นาฬิกา จำเลยที่ 4
ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณทางรถแล่นผ่านเข้าออกอาคารชุดดังกล่าวเห็นรถยนต์ของโจทก์แล่นออกจากที่จอดรถอาคารชุดดังกล่าว
มีคนนั่งมาด้านหน้าข้างคนขับอีก 1
คน แต่เห็นหน้าไม่ชัดเจนและเห็นว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักในอาคารชุด
จึงมิได้เรียกหยุดตรวจรถยนต์คันดังกล่าวหยุดรับชายอีกสองคนบริเวณสวนหย่อมแล้วแล่นออกไป
วันรุ่งขึ้นนายภานุวัฒน์บุตรโจทก์ทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวหายไปจำเลยที่ 1
และที่ 2
ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3
และที่ 4
ฎีกาประการแรกโดยอ้างข้อตกลงยกเว้นความรับผิดที่ทำขึ้นกับจำเลยที่ 1
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอกภัยเอกสารหมาย ล.1
มาปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 3
และที่ 4
ให้การแต่เพียงว่าจำเลยที่ 3
และที่ 4
มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยเฉพาะทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเท่านั้น
ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินส่วนตัวของผู้พักอาศัยในอาคาร
จำเลยที่ 3
และที่ 4
มิได้ให้การว่า ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
เพราะมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเอกสารหมาย ล.1
ดังนั้นที่จำเลยที่ 3
และที่ 4
อ้างในฎีกาว่า ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เนื่องจากมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเอกสารหมาย
ล.1
จึงนอกเหนือจากคำให้การและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
วรรคหนึ่ง
ปัญหาข้อต่อไปว่า
รถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์หรือไม่
โจทก์มีนายภานุวัฒน์บุตรโจทก์เบิกความว่า โจทก์มีรถยนต์ 2
คัน และนำบัตรติดรถยนต์ไปติดไว้ที่รถยนต์อีกคัน นายภานุวัฒน์ขับรถยนต์ของโจทก์คันที่สูญหายเข้าออกอาคารชุดไม่ต้องแลกบัตร
เนื่องจากพนักงานรักษาความปลอดภัยจำนายภานุวัฒน์ได้ว่าพักอาศัยอยู่ในอาคารชุดแม้จำเลยที่
3 และที่ 4
มีนายทวีวัฒน์กรรมการจำเลยที่ 3
และนายนครกรรมการจำเลยที่ 2
และที่ 3
เบิกความว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ติดหน้ากระจก
แต่เป็นเพียงการคาดคะเนเอาว่ารถยนต์ที่แล่นผ่านเข้าออก หากไม่มีบัตรติดรถยนต์
พนักงานรักษาความปลอดภัยจะลงบันทึกไว้ สำหรับรถยนต์ของโจทก์ไม่มีการบันทึก
คำเบิกความของพยานทั้งสองปากมิได้รู้เห็นโดยตรงว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์หรือไม่
ทั้งที่มีจำเลยที่ 4
และนายทองแดงพนักงานรักษาความปลอดภัยเป็นประจักษ์พยานขณะเกิดเหตุโดยตรงแต่จำเลยที่
3 และที่ 4
กลับไม่นำมาเบิกความเป็นพยาน ประกอบกับจำเลยที่ 4
ได้ให้การไว้ว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20.30
นาฬิกา จำเลยที่ 4
เห็นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าแล่นมาที่ป้อมยามทางเข้าออกอาคารชุดจำได้ว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักอาศัยในอาคารชุด
จึงอนุญาตให้ผ่านออกไป การที่จำเลยที่ 4
ให้การดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 4
ไม่เห็นว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออก
เพียงแต่จำได้ว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักอาศัยเท่านั้น
เป็นการสอดคล้องกับคำเบิกความของนายภานุวัฒน์ทำให้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่
3 และที่ 4
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์
ฎีกาของจำเลยที่ 3
และที่ 4
ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 4
กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า
เมื่อรถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์ตามระเบียบการผ่านเข้าออกของจำเลยที่
1
พนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดำเนินการแลกบัตรหรือให้แจ้งชื่อ ที่อยู่ของผู้ขับรถยนต์ที่จะผ่านเข้าออกอาคารชุดตามคู่มือระเบียบและข้อบังคับของจำเลยที่
1 เอกสารหมาย จ.6
หน้า 83
แต่คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 4
ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณป้อมยามของทางเข้าออกอาคารชุดเห็นแล้วว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุด
มิได้เรียกให้หยุดรถเพื่อแลกบัตรหรือให้ผู้ขับรถยนต์แจ้งชื่อ
ที่อยู่ตามระเบียบดังกล่าว
กลับปล่อยให้รถยนต์ที่เป็นของโจทก์แล่นผ่านออกไปอันเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์สูญหาย
เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องของจำเลยที่ 4
เป็นประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 3
และที่ 4
ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3
และที่ 4
ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000
บาท
(
มนูพงศ์
รุจิกัณหะ - ประทีป เฉลิมภัทรกุล - วีระชาติ เอี่ยมประไพ )