กรณีศึกษา รถหายไปจากห้าง กับ มาตราฐานในการนำสืบข้อเท็จจริง เพื่อให้ห้างต้องรับผิดชอบ
มีคำพิพากษาศาลฎีกาสองเรื่อง
เป็นกรณีรถหายที่ห้างเทสโก้โลตัส เหมือนกัน แต่การนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างกัน
ทำให้ผลของคดีต่างกัน ฎีกาแรก 10570/2557 ห้างไม่ต้องรับผิด ส่วนฎีกาหลัง 6616/2558
ห้างต้องรับผิด (ฎีกานี้เดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10570/2557
บริษัทประกันภัยศรีเมือง จำกัด โจทก์
บริษัทเอก - ชัย ดีสทริ บิวชั่น ซิสเทม
จำกัด จำเลย
บริษัทเจนเนอรัล การ์ด กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด จำเลยร่วม
ผู้ได้รับอนุญาตให้นำรถเข้ามาจอดจะต้องหาสถานที่จอดเอง เก็บกุญแจรถไว้เอง
และจะต้องดูแลรถกับทรัพย์สินภายในรถเอง ทั้งนี้
จำเลยไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการในการนำรถเข้าจอด
ดังนั้นความครอบครองในรถยังคงอยู่กับเจ้าของรถหรือผู้ที่นำรถเข้ามาจอด
จำเลยจึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถและไม่ได้รับประโยชน์อันเนื่องจากการที่มีผู้นำรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากผลกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าและการบริการซึ่งเป็นปกติทางการค้าเท่านั้น
พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมไม่ได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวังปล่อยให้คนร้ายลักรถกระบะคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ออกไปโดยไม่ตรวจสอบบัตรอนุญาตจอดรถให้ถูกต้อง
และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ได้ระมัดระวังดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับรถที่มีผู้นำมาจอดในห้างสรรพสินค้าของจำเลยตามสมควรแล้ว
การที่รถสูญหายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นกระทำของจำเลยและจำเลยร่วม
ดังนั้นจำเลยและจำเลยร่วม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6616/2558
บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด โจทก์
บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม
จำกัด กับพวก จำเลย
จำเลยที่
1
ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้าจัดให้มีลานจอดรถสำหรับลูกค้าที่ขับรถเข้ามาซื้อสินค้า โดยจำเลยที่
1 เคยกำหนดระเบียบให้ลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการต้องรับบัตรจอดรถจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่
2 ที่บริเวณทางเข้าห้างจำเลยที่ 1 และต้องคืนบัตรจอดรถให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่
2 ที่ทางออกห้างจำเลยที่ 1
หากไม่คืนบัตรจอดรถลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการต้องนำหลักฐานมาแสดงว่าเป็นเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถโดยชอบด้วยกฎหมายจึงจะนำรถออกจากลานจอดรถไปได้ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์
พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวย่อมทำให้ผู้มาใช้บริการจอดรถที่ห้างจำเลยที่ 1
เข้าใจว่าที่จอดรถดังกล่าวจำเลยที่ 1
จัดให้บริการรักษาความปลอดภัยแก่รถยนต์ของลูกค้าที่จะนำรถยนต์เข้ามาจอดขณะเข้าไปซื้อสินค้าในห้างจำเลยที่
1 พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองปฏิบัติมาในครั้งก่อน ๆ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่ 1
ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่รถยนต์ของลูกค้าที่นำเข้ามาจอดไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ออกไปจากที่จอดรถหรือป้องกันการโจรกรรมรถยนต์
สัญญาว่าจ้างบริการรักษาความปลอดภัยที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่
1 และจำเลยที่ 2 ข้อ 4.3(ก)และ(ข)ระบุว่าจำเลยที่ 2
ผู้รับจ้างจะดำเนินการสอดส่องตรวจตราและสังเกตุการณ์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในทรัพย์สินของบุคคลที่มาใช้บริการของผู้ว่าจ้างในสถานที่ให้บริการให้มีความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งการกำหนดและดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันและทำการช่วยเหลือในการป้องกันและหรือระงับการโจรกรรมที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ให้บริการโดยจำเลยทั้งสองได้กำหนดมาตรการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์หลายประการ
เช่น การจัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำที่บริเวณทางเข้า-ออกห้างจำเลยที่ 1
เพื่อแจกบัตรจอดรถให้แก่ผู้ขับรถยนต์เข้าห้างจำเลยที่ 1
และรับบัตรจอดรถคืนขณะขับรถออกจากห้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1
จัดให้มีเครื่องกั้นอัตโนมัติที่ทางเข้า-ออกเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์แล่นออกจากที่จอดรถไปได้โดยง่ายและจัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจตราบริเวณที่จอด
แต่ก็ยังปรากฏว่ามีรถยนต์สูญหายจากบริเวณที่จอดรถ
ดังที่จำเลยทั้งสองได้ประกาศเตือนผู้นำรถยนต์เข้ามาจอดให้ระวังรถยนต์สูญหายอันเป็นการแสดงให้เห็นว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันมิให้รถของลูกค้าสูญหายได้
จำเลยทั้งสองควรแก้ไขมาตรการในการป้องกันการโจรกรรมรถให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์ของลูกค้าสูญหายเพิ่มขึ้นอีก
แต่จำเลยทั้งสองกลับเลือกยกเลิกมาตรการจัดพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำบริเวณทางเข้า-ออกห้างจำเลยที่
1 เพื่อแจกบัตรจอดรถและรับบัตรจอดรถคืนและยกเลิกเครื่องกั้นอัตโนมัติ
คงเหลือมาตรการใช้กล้องวงจรปิดเพียงอย่างเดียวเพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์บริเวณทางเข้า-ออกห้างจำเลยที่
1 ซึ่งมิใช่วิธีป้องกันการโจรกรรมรถยนต์และระงับการโจรกรรมรถยนต์
การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการจงใจงดเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาและป้องกันมิให้รถยนต์ของลูกค้าสูญหาย
จำเลยที่ 2
ผู้รับจ้างรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินโดยวิชาชีพและหน้าที่ความรับผิดชอบตามสัญญาจ้างย่อมต้องมีวิธีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการถูกลักไปได้โดยง่าย
การที่จำเลยที่ 2
ยกเลิกการแจกบัตรจอดรถและไม่จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำที่ทางเข้า-ออก
จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่อย่างดี และ ไม่ใช้วิธีการที่ดีเพียงพอ
อันเป็นผลโดยตรงทำให้รถกะบะที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกคนร้ายลักไป
ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2
อันเป็นการทำละเมิดต่อนางสมคิดผู้เอาประกันภัยตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 จำเลยที่ 1
ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 2 ตัวแทนของจำเลยที่ 1
ได้กระทำไปในทางการที่มอบหมายให้ทำแทนตามมาตรา 427
โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนให้ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเต็มจำนวนตามตารางกรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง
โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556
บริษัทสินมั่นคงประกันภัย
จำกัด (มหาชน) โจทก์
บริษัทบิ๊กซี
ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) จำเลย
บริษัททีเคเอสเซฟตี้การ์ด
จำกัด จำเลยร่วม
จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค
ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น
ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา
8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร
แต่จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน
มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม
เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย
แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน
เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯ
ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น
แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ
รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม
ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลย