ความคาบเกี่ยวระหว่างลิขสิทธิ์ศิลปประยุกต์กับสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์
ศาลฎีกาได้แยกความคุ้มครอง
ลิขสิทธิ์ศิลปประยุกต์กับสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกจากกัน โดยดูจากวัตถุประสงค์ของการสร้างงาน
เมื่อได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์แล้วจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ประเภทศิลปประยุกต์อีก
(ดูวิทยานิพธ์ เรื่อง ปัญหากฎหมายในการคุ้มครองงานศิลปประยุกต์ นิลุบล ขัมภรัตน์ จุฬาฯ
๒๕๕๔)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๐๗๓/๒๕๕๗
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน
50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
และห้ามจำเลยทั้งสี่ผลิตกระเบื้องที่ลอกเลียนสินค้าของโจทก์ทั้งสองออกจำหน่ายแข่งขันกับโจทก์ทั้งสอง
ให้จำเลยที่ 1 ส่งคืนแบบแม่พิมพ์ต้นฉบับและที่ลอกเลียนทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่
1 คืนแก่โจทก์ทั้งสอง
ให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือนจำนวนเดือนละไม่ต่ำกว่า 5,000,000 บาท
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะหยุดผลิตและจำหน่ายสินค้ากระเบื้อง
จำเลยที่ 1
ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2
ที่ 3 และที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
พิพากษาห้ามจำเลยที่ 1 ผลิตแบบแม่พิมพ์กระเบื้องพิพาทอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์
(ที่ถูก โจทก์ที่ 1) กับให้ส่งคืนแม่พิมพ์ต้นแบบและแม่พิมพ์ที่ลอกเลียนทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่
1 แก่โจทก์ที่ 1 ห้ามจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องพิพาทแข่งขันกับโจทก์ (ที่ถูก โจทก์ที่ 1) ให้จำเลยที่ 1
ชำระเงินจำนวน 500,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ชำระเงินจำนวน 10,000,000
บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 26 กันยายน 2549
อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (ที่ถูก โจทก์ที่ 1)
กับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือนจำนวนเดือนละ
500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
จะหยุดผลิตและจำหน่ายกระเบื้องพิพาทอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ต่อโจทก์ (ที่ถูก
โจทก์ที่ 1) กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ (ที่ถูก
โจทก์ที่ 1) โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ 2
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสี่ไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า
เมื่อปี 2526 โจทก์ที่ 1 ซื้อแบบแม่พิมพ์กระเบื้องจากบริษัทคาตายามาคอร์ปอเรชัน
จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
แล้วใช้แบบแม่พิมพ์นั้นผลิตกระเบื้องออกจำหน่ายโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า
"KENZAI"
ปี 2535 โจทก์ที่ 1 จ้างบริษัทเค.ที.ที. แมชชีนเนอรี่ จำกัด
ให้ทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องใหม่โดยปรับปรุงจากแบบเดิม ต่อมาโจทก์ที่ 1 จ้างจำเลยที่
1 ให้ทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องตามแบบใหม่ ระหว่างปี 2546 ถึงปี 2549 จำเลยที่ 4
ทำงานกับบริษัทโจทก์ที่ 1 ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ต่อมาจำเลยที่ 4
ลาออกมาทำงานกับห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 1
ทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเพื่อผลิตกระเบื้องซึ่งใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEZEN"
โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จำหน่าย โจทก์ที่ 2
ไม่มีลิขสิทธิ์ในงานแบบแม่พิมพ์กระเบื้องตามฟ้อง โจทก์ที่ 2
จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้ โจทก์ที่ 2 ไม่อุทธรณ์ คดีสำหรับโจทก์ที่
2 กับจำเลยทั้งสี่ย่อมเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ข้อแรกว่า
แบบแม่พิมพ์กระเบื้องเป็นงานศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่
1 ดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยหรือไม่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์สรุปได้ว่าแบบแม่พิมพ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1
ไม่ใช่งานศิลปกรรมประเภทงานประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรม
แต่เป็นการดัดแปลงหรือลอกเลียนแบบงานกระเบื้องของประเทศญี่ปุ่น
จึงไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 ไม่มีลิขสิทธิ์ในแบบแม่พิมพ์กระเบื้องนั้น
ในปัญหานี้โจทก์ที่ 1 นำสืบโดยมีนางสาวนลินี
กรรมการบริษัทโจทก์ทั้งสองมาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นกับมีนายจิตติ
ช่างเปลี่ยนแม่พิมพ์กระเบื้องบริษัทโจทก์ที่ 1 นางสาวเพียงใจ
พนักงานบริษัทคัฟเวอร์เอเชีย จำกัด นายกิตติ ผู้รับจ้างทำแม่พิมพ์กระเบื้องให้แก่โจทก์ที่
1 นายกฤษฎา พนักงานฝ่ายขายบริษัทโจทก์ที่ 1 นางสาวเรืองรอง นิติกร
กรมทรัพย์สินทางปัญญา และนางสาวลดา นักวิทยาศาสตร์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ
มาเบิกความเป็นพยานได้ความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด
เดิมชื่อบริษัทพิมานซีรามิคส์ จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งตั้งแต่ปี 2526
มีนางสาวนลินีเป็นกรรมการเพียงคนเดียว ตามหนังสือรับรอง โจทก์ที่ 2
เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2546 ตามหนังสือรับรอง
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจรับจ้างทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้อง
ตามหนังสือรับรอง จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด
จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2548
ประกอบธุรกิจจำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEZEN"
(บีเซน) ตามหนังสือรับรอง จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด
จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548
ประกอบธุรกิจผลิตกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEZEN" ออกจำหน่าย ตามหนังสือรับรอง โจทก์ทั้งสองมอบอำนาจให้นายนันทชัย
ฟ้องและดำเนินคดีแทน ตามหนังสือมอบอำนาจ โจทก์ที่ 1
เป็นโรงงานผลิตกระเบื้องจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "KENZAI"
เริ่มตั้งแต่ประมาณปี 2526
เนื่องจากครอบครัวของนางสาวนลินีกรรมการบริษัทโจทก์ที่ 1
ประกอบอาชีพผลิตกระเบื้องเซรามิกมาก่อน
ทำให้นางสาวนลินีมีความชำนาญและประสบการณ์ในการผลิตกระเบื้องเซรามิกออกจำหน่าย
นางสาวนลินีจึงคิดผลิตกระเบื้องที่มีขนาดและคุณลักษณะพิเศษเฉพาะ
โดยเฉพาะรูปร่างและขนาดรวมทั้งรูปลักษณะที่แปลกใหม่ไม่มีผู้ผลิตมาก่อนในประเทศไทย
เน้นความสวยงามให้แตกต่างจากเดิมที่ผลิตกระเบื้องประเภทเซรามิกเคลือบซึ่งมีผู้ผลิตกระเบื้องประเภทเดียวกันหลายราย
ทำให้มีการแข่งขันในท้องตลาดสูงโดยต้องการที่จะผสมผสานงานศิลปกรรมและประติมากรรมเพื่อใช้ตกแต่งงานก่อสร้างทั้งภายนอกและภายในอาคาร
จึงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโจทก์ที่ 1 ขึ้น
แล้วว่าจ้างให้บริษัทคาตายามาคอร์ปอเรชัน จำกัด (KATAYAMA CORP.) และทีมงานในประเทศญี่ปุ่นมาออกแบบงานรูปลักษณะพิเศษเป็นสินค้าประเภทกระเบื้องที่แตกต่างจากที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย
รวมทั้งวัสดุที่ใช้ผลิตและสร้างรูปแบบลักษณะแม่พิมพ์ใช้เป็นแบบผลิตตามความพึงพอใจของโจทก์ที่
1 ซึ่งขณะนั้นโจทก์ที่ 1 จดทะเบียนเป็นชื่อบริษัทพิมานซีรามิคส์ จำกัด
งานออกแบบกระเบื้องของโจทก์ที่ 1 มีประมาณ 5 แบบ ประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน
และสร้างแบบผลิตระบุมาตรฐานมีขนาด 4 x 20 เซนติเมตร
แต่ผลิตจริงเป็นขนาด 4 x 21 เซนติเมตร
เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีผู้ใดทำมาก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเมื่อติดตั้งตกแต่งแล้วรวมกับการเว้นช่องวางปูนยาแนวจะต่อเชื่อมกับกระเบื้องรูปแบบอื่นของโจทก์ที่
1 ได้สวยงามและลงตัว นอกจากนั้นยังมีรูปสี่เหลี่ยมคางหมู รูปสามเหลี่ยม
รูปแบบในปัจจุบันที่ค้นหาพบมีเพียงแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสและแบบสี่เหลี่ยมคางหมู
ส่วนแบบอื่นที่โจทก์ที่ 1 ว่าจ้างและชำระค่าจ้างให้แก่บริษัทคาตายามาคอร์ปอเรชัน
จำกัด และทีมงานในประเทศญี่ปุ่นออกแบบให้ค้นหาไม่พบเนื่องจากเป็นเวลายาวนาน
งานออกแบบกระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ทั้งห้าแบบ
ซึ่งประกอบด้วยงานแบบแม่พิมพ์รูปลักษณะกระเบื้องซึ่งจะมีรูปทรงเรขาคณิตเป็นพื้นฐานประกอบแต่การกำหนดรูปทรง
ขนาด
จะกำหนดให้แตกต่างจากบุคคลอื่นที่ผลิตจำหน่ายในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น
ยึดถือตามแนวความคิดของนางสาวนลินีกรรมการบริษัทโจทก์ที่ 1
เป็นผู้กำหนดให้เป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะเพื่อมิให้มีขนาดซ้ำกับบุคคลอื่นและคุณลักษณะเฉพาะของความไม่เรียบด้านหน้ากระเบื้อง
ด้านข้างมีความโค้งมนสร้างความแตกต่างเพื่อป้องกันมิให้มีการเลียนแบบด้วยการสร้างรอยหยักไม่เรียบบนพื้นผิวด้านหน้าตามความพึงพอใจของกรรมการบริษัทโจทก์ที่
1
เป็นการออกแนวความคิดค้นหาทดลองและเลือกเองมิได้กำหนดสัดส่วนไว้ชัดเจนในงานเขียนแบบ
อันทำให้ยากต่อการถูกลอกเลียนแบบและไม่ได้เลียนแบบธรรมชาติ
งานชิ้นส่วนแบบแม่พิมพ์หลังจากที่ว่าจ้างกลุ่มทีมงานในประเทศญี่ปุ่นเขียนแบบกระเบื้องและแก้ไขจนเป็นที่พอใจแล้ว
ซึ่งใช้เวลาเกือบ 1 ปี
และชำระค่าจ้างอันเป็นการซื้อสิทธิในการจะใช้เป็นแบบของโจทก์ที่ 1 มาประกอบการผลิตกระเบื้องออกจำหน่าย
โจทก์ที่ 1 ได้ว่าจ้างให้บริษัทดังกล่าวและทีมงานเขียนแบบกระเบื้อง "KENZAI"
(เคนไซ) สร้างชิ้นส่วนแบบแม่พิมพ์ (เหล็ก) ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ได้แก่
ฐานล่างเพื่อรองรับการกดทับและสามารถจะระบุเครื่องหมายการค้าผู้ผลิตกระเบื้องนั้น
ๆ ซึ่งมีความสำคัญน้อยที่สุดและเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่าย ส่วนที่ 2
เรียกว่าแบบแม่พิมพ์ด้านข้างเพื่อรองรับแรงอัดกระเบื้องและสามารถจะออกแบบให้เรียบตรง
หรือแบบสันข้างมีความโค้งมน
หรือกำหนดความไม่เรียบให้เป็นเอกลักษณ์เหมาะแก่การใช้งานตามความพึงพอใจของกรรมการบริษัทโจทก์ที่
1 ส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญกำหนดความสวยงามและเป็นคุณลักษณะเฉพาะของกระเบื้อง
"KENZAI" ได้แก่
รอยความไม่เรียบของผิวด้านหน้าที่จะนำมากดทับปั๊มลายผิวหน้า
ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญบ่งชี้ความแตกต่างให้กระเบื้อง "KENZAI" มีความโดนเด่นสวยงามสะดุดตาแตกต่างจากความไม่เรียบของผิวหน้ากระเบื้องที่มีการผลิตในต่างประเทศและไม่มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนในขณะนั้น
ยากแก่การลอกเลียนแบบให้เหมือนได้
ผู้ผลิตรายอื่นจะต้องได้ต้นแบบแม่พิมพ์จริงของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น
จึงจะสามารถผลิตเลียนแบบได้ ในขั้นตอนคิดค้นการผลิตและค้นหาภาพลายด้านหน้าอันเป็นลวดลายทางศิลปะเพื่อให้ได้ความสวยงามก่อนผลิตจริงออกจำหน่าย
โจทก์ที่ 1
ได้ว่าจ้างชุดทำงานเขียนแบบและสร้างแบบแม่พิมพ์ด้วยการเริ่มสร้างหุ่นจำลองแม่พิมพ์ใช้เหล็กหล่อเป็นแม่พิมพ์
และใช้งานอิเล็กโทรดหรือแผ่นเหล็กในการทำแม่พิมพ์ แล้วใช้ความร้อนวาดกำหนดลวดลายความไม่เรียบลงในแบบแม่พิมพ์พื้นผิวที่จะใช้กดทับปั๊มผิวด้านหน้ากระเบื้อง
"KENZAI" แล้วนำไปเผาตามความร้อนขนาดต่าง ๆ
ทดลองจนได้ลวดลายสวยงามสะดุดตาแล้ว จึงจัดทำเป็นแบบแม่พิมพ์จริงที่จะนำมาใช้ผลิต
หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 จึงชำระค่าจ้างในการคิดค้นและสร้างขึ้นตามที่โจทก์ที่ 1
ต้องการ อันเป็นการซื้อสิทธิมาผลิตตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น หลังจากโจทก์ที่ 1
ได้สิทธิการผลิตจากผู้ที่ลงมือเขียนแบบและสร้างชิ้นส่วนแบบแม่พิมพ์แล้ว
จึงให้จัดส่งให้โจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยทั้งงานแบบแม่พิมพ์และชิ้นส่วนแบบแม่พิมพ์ต้นแบบอันมีคุณลักษณะเฉพาะดังกล่าว
และโจทก์ที่ 1
ได้จัดหาซื้อเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตและเริ่มคิดค้นที่จะเลือกวัสดุที่ใช้ในการผลิตซึ่งประกอบด้วยสี
มวลสารที่ใช้ผลิตโดยเฉพาะดินและส่วนประกอบอื่น ๆ
อันเป็นการริเริ่มคิดค้นสูตรที่จะผลิต รวมทั้งอุณหภูมิในการผลิต
ใช้เวลาในการคิดค้นพัฒนาประมาณ 1 ปี ทดลองผลิตกระเบื้อง "KENZAI"
จนได้สูตรลงตัวให้ความทนทาน ใช้สีจากต่างประเทศ
ใช้ดินจากบางจังหวัดทางภาคเหนือ การควบคุมอุณหภูมิจำเพาะอันเป็นความลับของโจทก์ที่
1 การผลิตกระเบื้องของโจทก์ที่ 1 เกิดจากการคิดค้นแบบกระเบื้องตั้งแต่ยกร่างรูปทรงและลวดลายในกระดาษร่างให้มีลักษณะสวยงามสะดุดตาและสะดวกในการใช้สอย
แล้วนำมาวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจตามหลักวิชาการ
ใช้เทคนิคที่เรียกว่าวิศวกรรมคุณค่าคือวิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีในประเทศไทยขณะนั้นจะเป็นประเภทเซรามิกเผาเคลือบสีมันวาว
เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีจะซีด ไม่คงทนแข็งแรง โจทก์ที่ 1
ได้จัดทำขนาดไม่ซ้ำบุคคลอื่นเน้นความหนาและไม่ใหญ่เกินไปเหมาะที่จะตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคารหรือบริเวณลานกว้างทำให้เกิดงานคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรมควบคู่กับสิ่งปลูกสร้าง
ทั้งให้ความแปลกใหม่และเพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำจนได้รูปทรงและลวดลายที่พอใจแล้วเขียนแบบที่ถูกต้องและทำหุ่นจำลอง
ต่อจากนั้นก็ทำการออกแบบชิ้นส่วนแบบแม่พิมพ์ผลิตกระเบื้องโดยใช้เหล็กทำแม่พิมพ์
ทำอิเล็กโทรดและผลิตแม่พิมพ์
เป็นการสร้างสรรค์อันเกิดจากการนำเอาการสร้างแบบแม่พิมพ์รูปลักษณะเฉพาะของกระเบื้อง
"KENZAI" และแบบแม่พิมพ์ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นประกอบกันเป็นรูปทรงอันเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงานจิตรกรรมและการสร้างแบบแม่พิมพ์กับหุ่นจำลองกระเบื้องดังกล่าว
ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้
อันเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงานประติมากรรมประกอบเข้าด้วยกันและสร้างขึ้นเป็นกระเบื้องเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตกแต่งอาคารและบริเวณโดยรอบสิ่งปลูกสร้างให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงานจิตรกรรมและประติมากรรมอันเข้าลักษณะเป็นศิลปประยุกต์ไม่ลอกเลียนแบบใครจนได้รับมาตรฐานรับรองคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐอิตาลีและสหรัฐอเมริกา
สินค้าที่โจทก์ที่ 1
ผลิตเป็นสินค้าแปลกใหม่ขายได้ราคาสูงและพัฒนารูปรอยความไม่เรียบ
โดยเฉพาะผิวด้านหน้าสวยงามตามความพึงพอใจของโจทก์ที่ 1
แต่แม่พิมพ์ชิ้นส่วนของแม่พิมพ์กระเบื้อง "KENZAI" นั้น เมื่อใช้ไปในช่วงระยะเวลาและจำนวนที่ผลิตระยะหนึ่งจะชำรุดสึกกร่อน
เพราะเหตุนี้ในการผลิตจริง
จึงจำต้องทำแบบลอกเลียนไปใช้ผลิตและเก็บแบบแม่พิมพ์ต้นแบบไว้
เมื่อมีการสึกกร่อนจะได้ลอกเลียนแบบแม่พิมพ์ต้นแบบได้ นับตั้งแต่ปี 2526 โจทก์ที่
1 ได้สั่งให้บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นผลิตแบบแม่พิมพ์ให้ใช้งานโดยบริษัทผลิตแบบแม่พิมพ์จะมีแบบแม่พิมพ์ต้นแบบไว้ลอกเลียนอย่างละ
1 ชุด เสมอ ถือเป็นความลับทางการค้าของโจทก์ที่ 1
ที่จะไม่ผลิตให้ผู้อื่นนอกจากโจทก์ที่ 1 ตามเอกสารการชำระเงินและใบรับส่งสินค้า
กระเบื้อง "KENZAI" ของโจทก์ที่ 1 ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมและกิจการเติบโตอย่างมาก
จนกระทั่งหลังปี 2535 โจทก์ที่ 1 จึงได้เปลี่ยนบริษัทรับทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้อง
"KENZAI" มาใช้บริษัทในประเทศไทยโดยจ้างบริษัทเค.ที.ที.แมชชีนเนอรี
จำกัด เป็นผู้จัดทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้อง "KENZAI" และแบบแม่พิมพ์เดิมสูญหายไปจำนวน
3 แบบ โจทก์ที่ 1 จึงได้ร่วมกับบริษัทเค.ที.ที.แมชชีนเนอรี จำกัด ออกแบบใหม่
ต่อมาได้พัฒนาผิวด้านหน้าแบบแม่พิมพ์กระเบื้องปรับปรุงใหม่จนเป็นแบบที่ใช้ในปัจจุบัน
หลังจากโจทก์ที่ 1 ได้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า
"KENZAI" ได้มีบุคคลและคณะบุคคลพยายามจะเลียนแบบการผลิตกระเบื้องให้มีรูปลักษณะคล้ายกระเบื้องของโจทก์ที่
1 เท่าที่โจทก์ที่ 1 พบได้แก่ บริษัทสมศักดิ์เซรามิค จำกัด
จำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Yo Nok" บริษัทเขลางค์คลาสสิคเซรามิค จำกัด จำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า
"K - lang" บริษัทเคอร่าไทล์เซรามิก จำกัด
จำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "KERA" และบริษัทโรแยลเอเซียบริคแอนด์ไทล์ จำกัด
จำหน่ายกระเบื้องภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "RCI" แต่กระเบื้องที่ผลิตออกจำหน่ายดังกล่าวมีคุณลักษณะเฉพาะโดยผิวไม่เรียบด้านหน้าแตกต่างจากกระเบื้อง
"KENZAI" ของโจทก์ที่ 1
และต่อมามีผู้แนะนำจำเลยที่ 1 ให้เข้ามารับจ้างทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้อง "KENZAI"
ทำให้จำเลยที่ 1
มีแบบแม่พิมพ์กระเบื้องต้นแบบเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ลอกเลียนแบบแม่พิมพ์ผลิตกระเบื้อง
"KENZAI" ให้โจทก์ที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1
มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาความลับแบบแม่พิมพ์กระเบื้องต้นแบบที่ครอบครองไว้
ห้ามนำไปใช้เป็นต้นแบบผลิตให้แก่บุคคลอื่นตามเอกสารการจ้างและชำระเงิน
ในช่วงประมาณปี 2546 ถึงปี 2549 จำเลยที่ 4 เข้าทำงานกับโจทก์ที่ 1
ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานผลิตกระเบื้อง "KENZAI" ทำให้จำเลยที่
4 ได้ล่วงรู้ความลับในการผลิตกระเบื้อง "KENZAI" ทุกขั้นตอนและเป็นผู้สั่งจ้างให้จำเลยที่
1 ที่สนิทสนมกันอยู่ก่อนเป็นผู้ผลิตแบบแม่พิมพ์ใช้ผลิตกระเบื้อง "KENZAI"
เมื่อจำเลยที่ 4 ได้ล่วงรู้ความลับในการผลิตกระเบื้องและแหล่งวัตถุดิบ
แหล่งเก็บแบบแม่พิมพ์ต้นแบบของโจทก์ที่ 1 แล้ว ในวันที่ 1 กันยายน 2548 จำเลยที่ 4
กับภรรยาได้จดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3
ขึ้นเพื่อผลิตสินค้ากระเบื้องประเภทเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 และให้จำเลยที่ 1
ผลิตแบบแม่พิมพ์ลอกเลียนต้นแบบของโจทก์ที่ 1 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1
ทั้งห้าแบบตามเอกสารรูปแบบสินค้ากระเบื้อง "KENZAI" ในหนังสือแคตตาล็อก
และได้สั่งซื้อวัตถุดิบได้แก่สีที่ใช้ผลิตเป็นชนิดและประเภทเดียวกับที่โจทก์ที่ 1
ใช้ โดยนำมาผลิตกระเบื้องภายใต้ชื่อ "BEZEN" มีรูปลักษณะ
ขนาด คุณลักษณะเฉพาะ
โดยเฉพาะผิวความไม่เรียบด้านหน้าและด้านข้างมีลักษณะลอกเลียนแบบกระเบื้อง "KENZAI"
ของโจทก์ที่ 1 ส่วนบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งจัดตั้งขึ้นในวันที่ 2
กันยายน 2548 มีจำเลยที่ 4 เข้าร่วมเป็นฝ่ายการตลาดและกำหนดรูปแบบในการผลิต
แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้นำกระเบื้อง "BEZEN" ที่ลอกเลียนแบบสินค้าของโจทก์ที่
1 เพียงแต่ลดมวลสารผสมบางอย่างออกเพื่อมิให้เกิดจุดดำที่ผิวด้านหน้าเท่านั้น
ซึ่งโจทก์ที่ 1 ก็เคยผลิตมาก่อนเช่นกัน
แต่สินค้าทั้งสองชนิดประชาชนหรือลูกค้าทั่วไปไม่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่าง
และย่อมต้องการลดต้นทุนเพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้นำเอาสินค้ากระเบื้อง
"BEZEN" ออกวางจำหน่ายแข่งขันและกำหนดราคาส่วนลดตัดราคาของโจทก์ที่
1 ถึงร้อยละ 46 ของราคาตั้ง ภายหลังโจทก์ที่ 1 ทราบว่ากรรมการบริษัทจำเลยที่ 1
และกรรมการบริษัทจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนโดยเฉพาะกรรมการบริษัทจำเลยที่
2 กับจำเลยที่ 4 ทำงานอยู่ที่บริษัทเดียวกันมาก่อน การที่จำเลยที่ 4
เข้าทำงานกับโจทก์ที่ 1 เพื่อหวังล่วงรู้ความลับในการผลิตกระเบื้อง "KENZAI"
ของโจทก์ที่ 1 เมื่อรู้ความลับทั้งหมดแล้วจำเลยที่ 4
จึงร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1
ผลิตแบบแม่พิมพ์ลอกเลียนแบบแม่พิมพ์ของโจทก์ที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 4
เป็นผู้ลอกเลียนและเปิดเผยความลับแบบแม่พิมพ์ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 4
นำความลับในการผลิตของโจทก์ที่ 1 ไปตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 3
ผลิตกระเบื้องลอกเลียนแบบและควบคุมการผลิต และร่วมกับจำเลยที่ 2
จำหน่ายกระเบื้องลอกเลียนแบบกระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า
"BEZEN" แข่งกับสินค้าของโจทก์ที่ 1 ทำให้โจทก์ที่
1 ได้รับความเสียหายเป็นเงินไม่ต่ำกว่าจำนวน 50,000,000 บาท โจทก์ที่ 1
จึงเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 50,000,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1
ห้ามจำเลยทั้งสี่ผลิตกระเบื้องที่ลอกเลียนสินค้าของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยที่ 1
ส่งคืนแบบแม่พิมพ์ต้นฉบับและแบบแม่พิมพ์ลอกเลียนที่มีอยู่กับจำเลยที่ 1
คืนโจทก์ที่ 1 กับให้ชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่าจำนวน 5,000,000
บาท
นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะเลิกผลิตกระเบื้องลอกเลียนกระเบื้องของโจทก์ที่
1 สำหรับจำเลยที่ 1 นำสืบโดยมีนายปัญญา ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1
มาเบิกความเป็นพยานได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด
ประกอบกิจการรับทำ ซ่อม และสร้างแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเซรามิก
โดยมอบอำนาจให้นายปัญญาดำเนินคดีแทน โจทก์ที่ 1 เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1
โดยเมื่อปี 2544 โจทก์ที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้ทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเซรามิก
โดยเอาตัวอย่างชิ้นงานคือกระเบื้องตัวอย่างมาให้จำเลยที่ 1
แกะแบบแม่พิมพ์กระเบื้องให้เหมือนกับตัวอย่างกระเบื้องที่โจทก์ที่ 1 นำมา
โดยโจทก์ที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ผลิตแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเป็นจำนวนมากกว่า
10 แบบ ขึ้นไป ส่วนใหญ่โจทก์ที่ 1
จะนำตัวอย่างกระเบื้องที่มีการวางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดหรือเป็นกระเบื้องที่ผลิตในต่างประเทศมาให้เป็นตัวอย่าง
และว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำแบบแม่พิมพ์เป็นครั้งคราวไป โจทก์ที่ 1
ไม่เคยบอกจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ที่ 1 มีลิขสิทธิ์ในงานกระเบื้องที่โจทก์ที่ 1
ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำแบบแม่พิมพ์ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3
ก็เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 เช่นกัน โดยเมื่อประมาณต้นปี 2549 จำเลยที่ 2 และที่ 3
ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้จัดทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องโดยนำตัวอย่างชิ้นงานกระเบื้องและแบบแม่พิมพ์กระเบื้องหรือแบบดรอว์อิง
(DRAWING) ที่มีขนาดกระเบื้องมาให้ด้วย โดยว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้จัดทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องประมาณ 6 แบบ เมื่อจำเลยที่ 1
ทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเสร็จแล้ว
ก็คืนแบบแม่พิมพ์พร้อมตัวอย่างชิ้นงานให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไป
ลักษณะแบบกระเบื้องที่โจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้ทำแบบแม่พิมพ์เป็นแบบกระเบื้องที่พยานเคยเห็นวางจำหน่ายในท้องตลาด มีกระเบื้อง
"K - Lang" และ "Yo Nok" โดยกระเบื้องดังกล่าวได้เคยว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้เป็นผู้จัดทำแบบแม่พิมพ์เช่นกัน ในการว่าจ้างทำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องระหว่างจำเลยที่
1 กับโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งลูกค้ารายอื่น
ไม่ได้ทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรแต่จะทำในรูปแบบของใบสั่งซื้อ จำเลยที่ 1
ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจการของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่โจทก์ที่ 1
กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 นำแบบแม่พิมพ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ไปให้จำเลยที่ 2
และที่ 3 นั้นไม่เป็นความจริง ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
นำสืบโดยมีนายชัยอัครญาณ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 2
มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็น นายวันชัย
หุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3
มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็น นายองอาจ
พนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3
มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็น และจำเลยที่ 4
อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นได้ความว่า
จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด
ประกอบกิจการผลิตกระเบื้องเซรามิกออกจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ตามหนังสือรับรอง
กระเบื้องตามคำฟ้องเป็นกระเบื้องส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ 3
ผลิตออกจำหน่ายและได้รับความนิยม จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่
1 เนื่องจากกระเบื้องเซรามิกดังกล่าวจำเลยที่ 3
ได้ซื้อลิขสิทธิ์ในแบบกระเบื้องมาจากบริษัทสมศักดิ์เซรามิค จำกัด ตามสัญญา
หลังจากนั้นได้ไปว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้ทำแบบแม่พิมพ์ผลิตกระเบื้องขายภายใต้ชื่อทางการค้าคำว่า "BEZEN"
โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ซื้อหรือมีลิขสิทธิ์ใด ๆ
ในแบบกระเบื้องเซรามิกนั้นและกระเบื้องดังกล่าวมีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นก่อนที่โจทก์ที่
1 จะเปิดกิจการ ผิวหน้าของกระเบื้องมีลักษณะเลียนแบบธรรมชาติ
แบบหรือรูปทรงของกระเบื้องก็เป็นแบบเรขาคณิต โจทก์ที่ 1 หรือบุคคลอื่นจึงไม่มีลิขสิทธิ์
จำเลยที่ 2 เป็นเพียงบริษัทที่ซื้อสินค้าจากจำเลยที่ 3 มาจำหน่าย จำเลยที่ 2
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งทำแบบแม่พิมพ์กับจำเลยที่ 1
หรือเกี่ยวข้องกับการผลิตกระเบื้อง นอกจากโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 3
จะเป็นผู้ผลิตกระเบื้องในลักษณะเดียวกันแล้วยังมีบุคคลอื่นผลิตกระเบื้องในลักษณะคล้ายกับโจทก์ที่
1 อีกหลายราย เช่น กระเบื้อง "K - lang" กระเบื้อง
"Yo Nok" จำเลยที่ 4
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตกระเบื้องของโจทก์ที่ 1 โดยหลังจากที่จำเลยที่ 4
ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทโจทก์ที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 4 ได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่
3 มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าและหาลูกค้าของจำเลยที่ 3
โจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขายลิขสิทธิ์จากเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศญี่ปุ่น
โดยในคำฟ้องอ้างว่าซื้อลิขสิทธิ์แต่ทางนำสืบกลับอ้างว่าโจทก์ที่ 1
คิดค้นแบบกระเบื้องขึ้นเองและว่าจ้างจำเลยที่ 1
ให้ผลิตแบบแม่พิมพ์กระเบื้องจึงเป็นการนำสืบแตกต่างจากคำฟ้อง โจทก์ที่ 1
จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาว่าแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเป็นงานศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่
1 หรือไม่ ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ที่ 1 ว่า บริษัทโจทก์ที่ 1
โดยนางสาวนลินีกรรมการบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทคาตายามาคอร์ปอเรชัน จำกัด
และทีมงานในประเทศญี่ปุ่นให้ออกแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเพื่อผลิตกระเบื้องให้มีรูปร่าง
ขนาด และรูปลักษณะที่แปลกใหม่แตกต่างจากกระเบื้องที่ผลิตออกจำหน่ายในประเทศไทย
โจทก์ที่ 1
ชำระค่าจ้างแก่บริษัทดังกล่าวอันเป็นการซื้อสิทธิในการจะใช้เป็นแบบของโจทก์ที่ 1
มาประกอบการผลิตกระเบื้องออกจำหน่ายในประเทศไทย เห็นว่า
การออกแบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าวเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องให้มีรูปร่างของผลิตภัณฑ์อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้
เข้าลักษณะเป็นแบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522
ไม่ใช่งานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้
และไม่ใช่งานออกแบบอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างหรืองานออกแบบตกแต่งภายในหรือภายนอกตลอดจนบริเวณของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างหรือการสร้างสรรค์หุ่นจำลองของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอันจะถือได้ว่าเป็นงานศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมที่จะมีลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง การออกแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องของโจทก์ที่
1 ดังกล่าวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1
ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร
พ.ศ.2522 มาตรา 59 ประกอบมาตรา 56
และได้รับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องดังกล่าว
การออกแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1
จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522
ส่วนที่โจทก์ที่
1 อ้างในคำฟ้องว่าในปี 2544 โจทก์ที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 1
ผลิตชุดสำรองลอกเลียนต้นแบบแม่พิมพ์กระเบื้องซึ่งจำเลยที่ 1
มีหน้าที่ผลิตเครื่องมือหรืออุปกรณ์ลอกเลียนแบบแม่พิมพ์กระเบื้องให้แก่โจทก์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว
หากจำเลยที่ 1 ลอกเลียนใช้ประโยชน์เองหรือนำชุดเครื่องมือพร้อมอุปกรณ์ผลิตกระเบื้องชนิดพิเศษและมีคุณสมบัติเฉพาะไปให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์
จะถือว่าเป็นการละเมิดและผิดข้อตกลงในการจ้างต่อโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 มีจำเลยที่
4 เป็นลูกจ้างในตำแหน่งผู้จัดการควบคุมการผลิต ทำให้จำเลยที่ 4
ล่วงรู้ความลับของวัสดุที่ใช้ในการผลิตและสูตรส่วนอัตราที่ผสม
และวิธีการขั้นตอนการผลิตอันเป็นความลับเฉพาะของโจทก์ที่ 1
เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตกระเบื้องจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษา จำเลยที่ 1
จึงรู้ความลับในวัสดุที่ใช้ในการผลิต สูตรและขั้นตอนในการผลิต
เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2549 โจทก์ที่ 1 พบว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3
ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องซึ่งมีคุณลักษณะเช่นเดียวกับกระเบื้องของโจทก์ที่ 1
โดยขายในราคาที่ต่ำกว่าราคากระเบื้องของโจทก์ที่ 1 และพบว่าเหตุที่จำเลยที่ 2
และที่ 3 สามารถผลิตสินค้ากระเบื้องดังกล่าวได้เพราะจำเลยที่ 1
ลอกเลียนแบบแม่พิมพ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3
โดยมีจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่ควบคุมดำเนินการผลิตกระเบื้องดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2
และที่ 3 จนทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีสินค้าลอกเลียนแบบสินค้าของโจทก์ที่ 1
วางจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคาของโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์ที่
1 ทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย เป็นทำนองว่าจำเลยที่ 1
กระทำผิดสัญญาว่าจ้างต่อโจทก์ที่ 1
และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำละเมิดสิทธิต่อความลับทางการค้าของโจทก์ที่ 1 นั้น
ในปัญหานี้ปรากฏว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า
โจทก์ทั้งสองมีลิขสิทธิ์ตามคำฟ้องหรือไม่
จำเลยทั้งสี่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองหรือไม่
และค่าเสียหายมีเพียงใดเท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 1
ผิดสัญญาว่าจ้างผลิตแบบแม่พิมพ์กระเบื้องต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่
และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันละเมิดความลับทางการค้าสำหรับสูตร วิธีการ
และขั้นตอนการผลิตกระเบื้องของโจทก์ทั้งสองหรือไม่
และโจทก์ทั้งสองก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว
คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้กำหนดดังกล่าว
เมื่อแบบแม่พิมพ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1
ไม่ใช่งานศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมอันมีลิขสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 ดังที่โจทก์ที่ 1 อ้างตามคำฟ้อง โจทก์ที่ 1
จึงไม่มีลิขสิทธิ์ในแบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าว
การกระทำของจำเลยทั้งสีย่อมไม่อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในแบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าวได้
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ที่ 1
โดยนางสาวนลินีได้ว่าจ้างบริษัทคาตายามาคอร์ปอเรชัน จำกัด
และทีมงานในประเทศญี่ปุ่นให้ออกแบบแม่พิมพ์เพื่อผลิตกระเบื้องมีกระบวนการทำงานหลายขั้นตอนกว่าจะได้ชิ้นงานเป็นแบบแม่พิมพ์
เป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยใช้ความอุตสาหะวิริยะในการสร้างสรรค์
ถือเป็นงานสร้างสรรค์แบบแม่พิมพ์ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นประกอบเป็นรูปทรงอันเข้าลักษณะศิลปกรรม
และการสร้างแบบแม่พิมพ์ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้ซึ่งเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงานประติมากรรมนำมาประกอบเข้าด้วยกันและสร้างขึ้นเป็นกระเบื้องเพื่อนำไปใช้ตกแต่งอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างทั้งภายในภายนอกและบริเวณของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง
งานสร้างสรรค์แบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าวจึงเป็นงานสถาปัตยกรรมอันได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 นั้นศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสี่อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง