แรงบันดาลใจหรือแนวความคิด กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง
แรงบันดาลใจเป็นเพียงแนวความคิด ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ต้องมีการนำแนวความคิดมาแสดงออกเป็นงานแล้วถึงจะได้รับความคุ้มครอง ถ้ามีแนวความคิดคล้ายกันหรือใช้แนวความคิดที่ได้เป็นแรงบันดาลใจคล้ายกัน แต่มีการแสดงออกซึ่งความคิดต่างกันในรายละเอียด ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการดัดแปลงงาน
คดีเปนชู้กับผี คำพิพากษาศาลฎีกาที่
18803 - 18804/2556
เนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" ไม่ถึงกับแสดงว่ามีการดัดแปลงมาจากนิยายผีของ ห.
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยให้สัมภาษณ์ว่า
ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์จากนิยายผีของ ห. นั้น
การได้แรงบันดาลใจนั้นอาจเป็นเพียงความคิดเท่านั้น
ซึ่งลำพังแนวความคิดไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 6
วรรคสอง งานอันมีลิขสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองต้องมีการนำความคิดมาแสดงออกเป็นงานแล้วเมื่อมีแต่บางส่วนที่มีแนวความคิดคล้ายกันหรือใช้แนวความคิดของ
ห. ที่ได้เป็นแรงบันดาลใจ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3
ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์โดยการดัดแปลงงานวรรณกรรมนิยายผีที่ ห.
เป็นผู้สร้างสรรค์มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี"
ภาพผีไต่ลงจากเสาห้อยหัวลงปรากฏว่าเคยมีคนใช้แนวคิดลักษณะเช่นนี้มาแล้ว
จึงมีลักษณะเป็นแนวคิดจินตนาการลักษณะอาการของผีให้น่ากลัว
หาใช่ว่าบุคคลใดใช้แนวความคิดวาดภาพเช่นนี้แล้วจะหวงกันให้ผู้อื่นไม่มีสิทธิใช้แนวคิดนี้ไปสร้างงานของตนได้
แม้การโฆษณาอาจทำให้เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากงานวรรณกรรมของ
ห. แต่โฆษณามีรายละเอียดต่อมาอีกมาก
เมื่ออ่านโดยรวมแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการยกย่องผลงานของ ห. และจำเลยที่ 1
ได้แรงบันดาลใจจากผลงานดังกล่าว นอกจากนี้ ในฉากจบยังมีข้อความว่า
"ความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ขออุทิศแด่ ห.
บรมครูศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจ" ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1
ทราบว่าโจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2 เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด
ก็ได้รีบเชิญสื่อมวลชนมารับทราบว่าภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างจากนิยายผีของ ห.
แสดงถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่ต้องการยกย่องและแสดงถึงการสร้างภาพยนตร์โดยได้แรงบันดาลใจจากงานของ
ห. จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้โจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2 ต้องเสียหาย
..........................................................................................................................................................
คดีทั้งสองสำนวนนี้
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2
ส่วนจำเลยทั้งสามทั้งสองสำนวนคงเรียกเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3
ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ที่
1 ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่
1 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1
ให้จำเลยทั้งสามลงโฆษณาประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีชื่อเสียงจำนวน 10 ฉบับ
อาทิ ไทยรัฐ มติชน คมชัดลึก เดลินิวส์ เป็นเวลา 10 วัน ติดต่อกัน
เพื่อขอโทษที่ใช้ลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตและชี้แจงเพื่อไม่ให้ประชาชนหลงผิดเข้าใจว่าฉากที่มีการประกอบกิจกรรมทางเพศในภาพยนตร์มีอยู่ในบทประพันธ์ของนายเหม
หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ที่ 1
นำคำพิพากษาลงประกาศหนังสือพิมพ์รายวันที่มีชื่อเสียงจำนวน 10 ฉบับ เป็นเวลา 10
วัน ติดต่อกัน โดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ให้จำเลยทั้งสามงดการนำภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี"
ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั้งการฉายภาพยนตร์ทั่วประเทศ
เผยแพร่ทั้งหมดหรือบางส่วนในรูปแบบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
ทั้งในโทรทัศน์และสื่อต่าง ๆ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 1
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สองโจทก์ที่
2
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าตอบแทนในการใช้ชื่อและผลงานของนายเหมที่นำไปโฆษณาในสื่อต่าง
ๆ ในภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" เพื่อผลประโยชน์ของจำเลยทั้งสาม
ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยทั้งสามงดการนำภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี"
ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั้งการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
ทั้งการเผยแพร่ทั้งหมดหรือบางส่วนในรูปแบบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ทั้งในโทรทัศน์และสื่อต่าง
ๆ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 2
ให้จำเลยทั้งสามลงโฆษณาประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีชื่อเสียงจำนวน 10 ฉบับ
เป็นเวลา 10 วัน อาทิ ไทยรัฐ มติชน คมชัดลึก เดลินิวส์
เพื่อลงโฆษณาขอโทษที่ใช้ชื่อและชื่อผลงานของนายเหมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ที่ 2
และชี้แจงเพื่อไม่ให้ประชาชนหลงผิดเข้าใจฉากที่มีการประกอบกิจกรรมทางเพศในภาพยนตร์ว่ามีอยู่ในบทประพันธ์ของนายเหม
ให้กรรมการของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จุดธูปขอขมาต่ออัฐิของนายเหม
โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของนายเหม
ที่นำชื่อและชื่อผลงานของนายเหมไปใช้ในภาพยนตร์จนทำให้ชื่อเสียงของนายเหมเสียหาย ณ
สถานที่บรรจุอัฐิของนายเหม หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์ที่ 2
นำคำพิพากษามาตีพิมพ์ต่อหนังสือพิมพ์รายวันที่มีชื่อเสียงจำนวน 10 ฉบับ เป็นเวลา
10 วัน โดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา
มูลนิธิบรมครู ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีตามสำนวนแรก
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต ต่อมาโจทก์ที่ 2
ถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต หลังจากนั้น โจทก์ทั้งสองและโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องจำเลยที่
2 โดจำเลยที่ 2 ไม่ค้าน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมและโจทก์ที่
2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นายเหม
เป็นผู้สร้างสรรค์ประพันธ์งานวรรณกรรมนิยายเรื่องผีหลายเรื่อง
และต่อมามีการนำนิยายหลายเรื่องดังกล่าวมารวมพิมพ์เป็นหนังสือชุดปีศาจไทย
นอกจากนี้นายเหมยังเป็นผู้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมภาพวาดประกอบนิยายผีเรื่อง
"นั่งหวย"
มีลักษณะเป็นภาพผีผู้ชายไม่สวมเสื้อนุ่งโจงกระเบนห้อยหัวไต่ลงจากเสาเรือน นายเหมถึงแก่กรรมเมื่อปี
2512 โจทก์ที่ 1
เป็นบริษัทจำกัดและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมและจิตรกรรมของนายเหมในขณะยื่นฟ้องคดีสำนวนแรก
โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมของนายเหมกับนางแช่ม
และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานวรรณกรรมและจิตรกรรมของนายเหมในขณะฟ้องคดีสำนวนที่สอง โจทก์ร่วมเป็นมูลนิธิซึ่งดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ของนายเหม
จำเลยที่ 1 เป็นผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" มีจำเลยที่ 2
เป็นผู้กำกับ และจำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์
ภาพยนตร์ดังกล่าวมีฉากตอนหนึ่งเป็นภาพผีผู้ชายไม่สวมเสื้อนุ่งโจงกระเบนห้อยหัวไต่ลงจากเสาเรือน
ก่อนนำภาพยนตร์ดังกล่าวออกฉายตามโรงภาพยนตร์ จำเลยที่ 1 โฆษณาทางสื่อสารมวลชนต่าง
ๆ โดยมีข้อความว่า "จากงานเขียนชุดปีศาจไทยของครูเหม เวชกร สู่...ความสยองใน
"เปนชู้กับผี"" และจำเลยที่ 2 กับที่ 3
เคยให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวว่า เคยอ่านนิยายผีของนายเหม การสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจจากนายเหม
หลังจากมีปัญหาเรื่องการอ้างอิงชื่อนายเหม จำเลยที่ 1
ได้มีหนังสือแจ้งให้สื่อสารมวลชนหยุดการอ้างอิงชื่อนายเหมในการโฆษณาภาพยนตร์ดังกล่าว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมประการแรกว่า
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันดัดแปลงอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนิยายเรื่องผีของนายเหม
โดยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" หรือไม่
ประเด็นข้อนี้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ร่วมเป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงนี้
จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันดัดแปลงอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนิยายเรื่องผีของนายเหม
แต่โจทก์ทั้งสองและโจทก์ร่วมนำสืบพยานหลักฐานโดยมีนายไพศาล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่
1 และที่ 2 และเป็นเลขาธิการมูลนิธิโจทก์ร่วมเบิกความเป็นทำนองว่า
ภาพยนตร์ของจำเลยที่ 1 เรื่องดังกล่าวดัดแปลงมาจากนิยายผีหลายเรื่องของนายเหม เช่น
มีฉากตอนแรกที่นางเอกพบแม่บ้าน
และฉากตอนจบที่นางเอกทราบว่าคนในบ้านทุกคนเป็นผีซึ่งคล้ายกับนิยายเรื่อง
"เลขานุการผี" ของนายเหมที่มีการดำเนินเรื่องตอนแรกโดยพระเอกพบแม่บ้าน
และตอนท้ายที่พระเอกทราบว่าคนในบ้านทุกคนเป็นผี และโครงเรื่องเหมือนกัน
จึงเห็นว่าเป็นการดัดแปลงงานวรรณกรรมของนายเหม
แต่นายไพศาลก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสามถามค้านว่า บทประพันธ์นิยายเรื่อง
"เลขานุการผี"
ของนายเหมนั้นในรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดไม่ตรงกับภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" นอกจากนี้ จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นทำนองว่า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนไทยในยุคโบราณ
การแต่งกายและวิถีการดำรงชีวิตก็เป็นเรื่องตามยุคสมัยนั้น
โดยมีการค้นคว้าโดยเฉพาะจากผลงานนวนิยายและภาพวาดของนายเหม
จนได้แรงบันดาลใจมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงถึงการนำแนวความคิดมาใช้มากกว่าที่จะเป็นการลอกเลียนดัดแปลง
และเมื่อพิจารณาเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ตามดีวีดี
เปรียบเทียบกับเนื้อหาในนิยายเรื่อง "เลขานุการผี"
ของนายเหมตามหนังสือแล้ว
ก็เห็นได้ว่าแม้ในฉากแรกของภาพยนตร์เป็นฉากที่นางเอกไปพบกับนางช้อยแม่บ้านเหมือนการดำเนินเรื่องตอนแรกของนิยายเรื่อง
"เลขานุการผี" ก็ตาม
แต่การที่พระเอกหรือนางเอกไปพบกับแม่บ้านในฉากแรกของภาพยนตร์หรือนิยายก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ประพันธ์นวนิยายหรือบทภาพยนตร์อาจนำมาเป็นแนวคิดและใช้แสดงในภาพยนตร์
และในภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" นั้น
เนื้อเรื่องที่นางเอกไปพบแม่บ้านที่บ้านหลังหนึ่งก็เป็นไปเพื่อตามหาพระเอก
ส่วนในนิยายเรื่อง "เลขานุการผี"
เป็นกรณีที่พระเอกไปบ้านหลังหนึ่งเพื่อของานทำจากเจ้าของบ้าน
อันเป็นการแสดงออกซึ่งแนวความคิดในการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกัน ส่วนตอนท้ายของภาพยนตร์ที่มีบทนางเอกทราบว่าคนในบ้านล้วนแต่ตายไปแล้วทั้งหมดนั้น
แม้จะมีแนวความคิดเหตุการณ์นี้คล้ายกับนิยายเรื่อง "เลขานุการผี"
ที่พระเอกทราบภายหลังว่าคนในบ้านตายทั้งหมดอยู่บ้างก็ตาม
แต่การแสดงในบทภาพยนตร์นั้น ฉากตอนท้ายเป็นการเปิดเผยว่าตัวนางเอกก็ได้ตายไปด้วยจากการผูกคอตาย
แต่ยังคงวนเวียนกลับไปบ้านหลังดังกล่าว ส่วนในนิยายผีเรื่อง
"เลขานุการผี" นั้นตัวพระเอกไม่ตาย แต่หนีออกจากบ้านไปได้
และไม่มีการกลับไปบ้านดังกล่าวอีกซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่ามีการแสดงออกซึ่งความคิดออกมาเป็นเนื้อเรื่องที่แตกต่างกัน
โดยในส่วนการเปิดเผยปมของเรื่องราวที่ดำเนินมาทั้งหมดให้ผู้ชมเข้าใจไว้ในตอนท้ายเรื่องก็เป็นเรื่องปกติในบทภาพยนตร์ที่อาจใช้แนวทางเช่นเดียวกันนี้
เห็นได้ว่าเนื้อหาตามบทภาพยนตร์ที่แสดงออกให้ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" ไม่ถึงกับแสดงว่ามีการดัดแปลงมาจากนิยายผีเรื่องดังกล่าวของนายเหม
ส่วนที่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3
เคยให้สัมภาษณ์ตามนิตยสารว่า ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" จากนิยายผีของนายเหมซึ่งส่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2
และที่ 3 นำนิยายผีของนายเหมมาดัดแปลงนั้น ก็เห็นได้ว่า
การได้แรงบันดาลใจนั้นอาจเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น
ซึ่งลำพังความคิดนั้นไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
มาตรา 6 วรรคสอง
โดยงานอันมีลิขสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองต้องมีการนำความคิดมาแสดงออกเป็นงานแล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระสำคัญของงานที่แสดงออกมาให้ปรากฏไม่ถึงขนาดที่จะแสดงว่ามีการนำงานนิยายอันมีลิขสิทธิ์มาใช้ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ดังกล่าวมาข้างต้น
คงมีแต่บางส่วนที่มีแนวความคิดคล้ายกันหรือแม้แต่ใช้แนวความคิดของนายเหมที่ได้เป็นแรงบันดาลใจ
ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3
ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์โดยการดัดแปลงงานวรรณกรรมนิยายผีที่นายเหมเป็นผู้สร้างสรรค์มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ร่วมประการนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมประการต่อไปว่า
จำเลยที่ 1 และที่ 3
ละเมิดลิขสิทธิ์งานจิตรกรรมของนายเหมโดยนำภาพผีผู้ชายไม่ใส่เสื้อ
นุ่งโจงกระเบนห้อยหัวไต่ลงจากเสาเรือน ซึ่งเป็นภาพประกอบนิยายผีเรื่อง
"นั่งหวย" มาดัดแปลงเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" หรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ทั้งสองและโจทก์ร่วมนำสืบพยานหลักฐานเป็นทำนองว่า
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้นำภาพจิตรกรรมดังกล่าวตามสำเนาภาพผีไต่เสา
ไปดัดแปลงทำเป็นฉากตอนท้ายในภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" ตามดีวีดี
ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 นำสืบพยานหลักฐานโดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3
เบิกความเป็นทำนองว่าต้องการให้มีภาพผีจำนวนมากปรากฏในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้
และจำเลยที่ 2 อยากให้มีผีอยู่ในภาพทุกมุมมอง
โดยไม่ได้นำภาพวาดมาดัดแปลงเป็นฉากสุดท้ายนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้โดยลักษณะผียืนกลับหัวนั้นก็เคยมีปรากฏในภาพยนตร์ผีหรือภาพวาดผีมาก่อนตามตัวอย่างภาพผีแดรกคิวลาไต่กำแพงห้อยหัวลงและภาพผีญี่ปุ่นคลานลงบันได
เห็นว่า ภาพวาดผีไต่เสาเรือนของนายเหมตามภาพวาด มีลักษณะเป็นภาพผู้ชาย 2 คน
มองไปยังผีผู้ชาย 1 ตน ไม่สวมเสื้อนุ่งโจงกระเบนไต่เสาลงมาโดยส่วนหัวอยู่ด้านล่าง
โดยเห็นภาพผีด้านหลังเงยหน้ามองลงพื้น
ที่โคนเสามีที่ตั้งธูปกับเทียนที่จุดติดไฟไว้ และฉากหลังเป็นต้นไม้ค่อนข้างทึบ
ส่วนในภาพยนตร์ตามดีวีดีฉากตอนท้าย ๆ
เป็นฉากที่นางเอกเดินอยู่นอกบ้านอยู่ท่ามกลางผีหลายตนเดินไปทางใดก็พบแต่ผีทุกด้าน
ส่วนใหญ่เป็นผีผู้ชายกำลังเดินอยู่เป็นจำนวนมากเต็มไปหมด
เมื่อมองไปทางบ้านก็ยังมีผี 2 ตน ไต่เสาบ้านห้อยหัวลงโดยเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวแสดงการไต่เสาดังกล่าวในช่วงเวลาสั้น
ๆ เป็นช่วง ๆ
สลับกับฉากที่มีผีหลายตนเดินอยู่และยังมีฉากที่เป็นผีห้อยหัวลงโดยไม่มีเสาให้เห็น
ผีดังกล่าวเห็นด้านหลังเพียงครึ่งตัว
ตั้งแต่เอวถึงหัวที่ห้อยลงและแขนทั้งสองข้างห้อยลงเช่นกัน ซึ่งทำให้เกิดความน่ากลัวน่าตกใจ
ทั้งนี้โดยฉากต่าง ๆ
ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องในภาพยนตร์ดังกล่าวมีลักษณะที่ต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็นถึงความน่ากลัวน่าตกใจในเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับผีจำนวนมากเต็มไปหมด
ไม่ว่าจะมองทางใดเดินไปทางใดก็ต้องพบกับผีต่าง ๆ มากมาย ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกับภาพวาดที่เป็นเพียงชาย
2 คนมองไปยังผีที่ไต่เสาลงมาเพียงตนเดียว
และแม้ในภาพยนตร์จะมีภาพช่วงหนึ่งในเวลาสั้นมากจากภาพต่อเนื่องในช่วงสลับฉากมีผีตนเดียวก็เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยอันมีผลมาจากมุมกล้องที่ถ่ายออกมาดังปรากฏตามภาพก็ตาม
แต่ในภาพนี้ก็มีลักษณะที่ผีไต่เสาเรือนแตกต่างจากภาพผีในภาพวาด
ทั้งในส่วนการเหยียดหรืองอขาและลักษณะหัวห้อยลงมาแต่เอียงคอมองขนานกับพื้นมิได้มองลงพื้นอย่างภาพวาด
ทั้งยังมีองค์ประกอบภาพที่เห็นเสาถึง 5 ต้น
และผีที่เดินอยู่ทั้งในบ้านและนอกบ้านซึ่งแตกต่างกันมาก คงมีส่วนที่คล้ายกันเพียงผีไต่เสาลงมาเท่านั้น
ซึ่งก็ปรากฏว่า
เคยมีคนใช้แนวคิดลักษณะผีไต่ลงห้อยหัวลงเช่นนี้มาแล้วดังกล่าวข้างต้น
จึงมีลักษณะเป็นแนวคิดจินตนาการลักษณะอาการของผีให้น่ากลัว
หาใช่ว่าบุคคลใดได้ใช้แนวความคิดวาดภาพลักษณะของผีในลักษณะเช่นนี้แล้วจะหวงกันให้ผู้อื่นไม่มีสิทธิใช้แนวคิดนี้ไปสร้างงานของตนได้
จึงเห็นได้ว่า งานภาพยนตร์ที่มีฉากผีไต่เสาห้อยหัวลงนี้มีการแสดงออกในส่วนต่าง ๆ
ที่เป็นองค์ประกอบหลายอย่างแตกต่างจากภาพวาดโดยสิ้นเชิง
และแม้เครื่องแต่งกายอาจคล้ายกันก็เป็นไปตามความนิยมในการแต่งกายในยุคสมัยนั้น ๆ อันเป็นยุคสมัยเดียวกัน
ก็มิใช่เหตุที่จะถือว่าเป็นการดัดแปลงจากงานภาพวาด โดยฉากต่าง ๆ
ในภาพยนตร์ที่มีองค์ประกอบแตกต่างไปจากภาพวาดหลายประการ
และมีจินตนาการเพื่อแสดงออกทางภาพยนตร์ให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างไปเช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่า
การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสร้างงานขึ้นใหม่มิใช่การดัดแปลงงานภาพวาดแต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์อีกว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความแตกต่างกัน
และแตกต่างจากที่เคยให้สัมภาษณ์ลงข่าวทางหนังสือพิมพ์นั้น
เมื่อภาพในภาพยนตร์กับภาพวาดมีสาระสำคัญที่วินิจฉัยได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1
และที่ 3 มิใช่การดัดแปลงงานภาพวาดแล้ว
ในส่วนรายละเอียดคำเบิกความพยานบุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องปลีกย่อย
ไม่มีนัยสำคัญให้ฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีก ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่
1 และที่ 3 ละเมิดลิขสิทธิ์โดยดัดแปลงภาพวาดผีไต่เสาเรือนซึ่งเป็นงานจิตรกรรมของนายเหมมาเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี" อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมประการนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและโจทก์ที่
2 เป็นประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยที่ 1 อ้างอิงถึงชื่อนายเหม
ในการโฆษณาภาพยนตร์มีข้อความส่วนหนึ่งว่า "จากงานเขียนชุดปีศาจไทยของครูเหม
สู่...ความสยองใน "เปนชู้กับผี" "นั้น
เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2 เสียหายอย่างใดหรือไม่ เห็นว่า
แม้ข้อความดังกล่าวอาจทำให้เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากงานวรรณกรรมนิยายผีชุดปีศาจไทยของนายเหมก็ตาม
แต่นอกจากข้อความดังกล่าวข้างต้นแล้วในโฆษณายังมีข้อความในรายละเอียดต่อมาอีกมาก
โดยกล่าวถึงจำเลยที่ 3 ในฐานะคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า "จากการที่ (จำเลยที่ 3) ได้คุยกับผู้กำกับ
(จำเลยที่ 2) เขาอยากได้หนังผีที่มีความลึก ไม่ใช่แค่น่ากลัวหรือสยองขวัญแบบแหวะ ๆ
แต่มันเป็นความน่ากลัวแบบไทย ๆ ที่ชวนขนหัวลุก
โดยที่เขาได้แรงบันดาลใจมาจากชิ้นงานของครูเหม เจ้าของสมญานาม
"จิตรกรห้าแผ่นดิน" โดยที่เราได้ศึกษางานของครูเหม
ซึ่งผลงานของท่านมีทั้งภาพวาดและงานเขียนที่ส่วนมากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย
วิถีชีวิตและแนวคิดของสังคมไทย
โดยเฉพาะงานเขียนของท่านถูกนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดปีศาจไทยในสมัยก่อนจนโด่งดัง
งานของครูเหมมีสไตล์ที่โดดเด่น
ถ้าเป็นเรื่องผีของครูเหมจะมีแบบฉบับเฉพาะคือการเห็นวิญญาณจะเห็นคลุมเครือ
เห็นแบบราง ๆ ผีก็จะเห็นผ่านมุ้งไม่ชัด เพราะคนไทยสมัยก่อนจะนอนมุ้งกัน
บรรยากาศจะเงียบ ๆ วังเวง บางครั้งก็จะมืด ๆ แสงที่เกิด
แหล่งของแสงก็จะมาจากตะเกียง เราก็จะรู้สึกว่าอันนี้คือรูปแบบของผีบ้านเรา
ซึ่งจะแตกต่างจากหนังผีสมัยนี้ที่จะชอบทำให้คนดูตกใจตลอดเวลา
มันเป็นบรรยากาศเฉพาะของหนังผีไทยที่ประเทศอื่นไม่มี..."
อีกตอนก็มีข้อความว่า "เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นจากภาพวาดของครูเหม
คือเรื่องผีของครูเหมส่วนมากจะเป็นเรื่องความผูกพันระหว่างคนกับผี
การพบการจาก" และอีกตอนมีข้อความว่า "โดยที่เราได้ไปศึกษางานของครูเหม
ซึ่งผลงานของท่านมีทั้งภาพวาด และงานเขียนที่ส่วนมากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย
วิถีชีวิต และแนวคิดของสังคมไทย"
ซึ่งจากข้อความดังกล่าวทั้งหมดเมื่ออ่านรวมกันแล้วย่อมเข้าใจได้ชัดเจนว่า
เป็นข้อความที่มีรายละเอียดยกย่องผลงานภาพวาดและนิยายเรื่องผีของนายเหม
และในการสร้างภาพยนตร์ของจำเลยที่ 1 นี้ ก็ได้แรงบันดาลใจจากผลงานของนายเหมดังกล่าว
โดยมีการศึกษางานของนายเหม แล้วนำแนวคิดจากงานของนายเหมมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง
"เปนชู้กับผี"
มิใช่การนำผลงานที่นายเหมเป็นผู้สร้างสรรค์แล้วมาใช้สร้างเป็นภาพยนตร์โดยตรง
นอกจากนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ฉากตอนจบของเรื่องยังมีข้อความว่า
"ความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ขออุทิศแด่ครูเหม
บรมครูศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจ" อันเป็นการย้ำถึงเจตนายกย่องนายเหม
นอกจากนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบปัญหาที่โจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2
ที่เกรงว่าคนจะเข้าใจผิดดังกล่าวแล้วก็ได้รีบแก้ไขโดยเชิญสื่อมวลชนมารับทราบว่าภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างจากนิยายผีของนายเหม
จากพยานหลักฐานดังกล่าว แสดงถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3
ที่ต้องการยกย่องและแสดงถึงการสร้างภาพยนตร์โดยได้แรงบันดาลใจจากงานของนายเหม
มิใช่กระทำให้ประชาชนหลงผิดคิดว่าภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างจากนิยายของนายเหม จึงย่อมไม่มีเหตุที่จะทำให้โจทก์ร่วมและโจทก์ที่
2 ต้องเสียหายแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 และที่ 3
จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยกฟ้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและโจทก์ที่
2 ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ประการอื่นอีกต่อไป
เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
(ธัชพันธ์
ประพุทธนิติสาร-อร่าม เสนามนตรี-ปริญญา ดีผดุง)
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
- นางจันทร์กระพ้อ ต่อสุวรรณ สินวถาวร
หมายเลขคดีดำศาลชั้นต้น
ทป156/2549
หมายเลขคดีแดงศาลชั้นต้น
ทป227/2552