ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้ ต่างคนต่างโต้เถียงซึ่งกันและกัน เจ้าหนี้ด่าว่า “มึงโกงกู” ด้วยความโกรธ เป็นหมิ่นประมาทหรือไม่
ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้
ต่างคนต่างโต้เถียงซึ่งกันและกัน เจ้าหนี้ด่าว่า “มึงโกงกู” ด้วยความโกรธ เป็นหมิ่นประมาทหรือไม่
ในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่า
เจ้าหนี้และลูกหนี้ทะเลาะโต้เถียงกันด้วยความโกรธ ต่างคนต่างว่าซึ่งกันและกัน
คำว่า มึงโกงกู เป็นคำโต้ตอบลูกหนี้เนื่องจากเจ้าหนี้ไม่เชื่อว่าลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้แล้ว
จะถือว่าเจ้าหนี้เจตนาใส่ความลูกหนี้อันจะเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ไม่ได้
แต่ผู้เขียนเห็นว่า เป็นถ้อยคำดูถูกเหยียดยาม และ สบประมาทลูกหนี้
ว่าเป็นคนไม่ซื่อตรง จึงเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าแล้ว แต่คดีนี้ ไม่ได้มีคำขอให้ลงโทษในฐานความผิดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1199/2557
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 326
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
เพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
193 ทวิ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
6 เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา จำเลยได้พูดกับโจทก์ว่า
"มึงโกงกู" ไม่ถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม
ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)
ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค
6 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 4 เดือน
และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 56 จำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,
30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์รับราชการครูที่โรงเรียนวัดธงชัยราม
จำเลยรับราชการที่โรงเรียนวัดเทวประสาทซึ่งสามีโจทก์เป็นผู้อำนวยการ
เย็นวันเกิดเหตุโจทก์ไปรอสามีโจทก์ซึ่งประชุมครูอยู่ที่โรงเรียนวัดเทวประสาท
เมื่อประชุมเสร็จจำเลยออกจากห้องประชุม โจทก์เข้าไปพูดคุยกับจำเลยเรื่องเงินจำนวน
30,000 บาท ที่โจทก์ยืมจากจำเลย แล้วเกิดการโต้เถียงกัน
โจทก์อ้างว่าได้ชำระหนี้ให้จำเลยแล้วโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร
แต่จำเลยไม่เชื่อและพูดว่า เหตุใดจึงไม่นำเงินสดมาคืน เพราะตอนยืมก็รับเงินสดไป
มึงโกงกู จำเลยพูดในขณะที่สามีโจทก์ นางศิริลักษณ์ และนางสาววิไลพรรณ
ครูโรงเรียนวัดเทวประสาทอยู่ด้วย ส่วนโจทก์ด่าจำเลยว่า อีตอแหล อีเหี้ย อีสัตว์
และคำหยาบอีกหลายคำ
พนักงานอัยการได้ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
393 โจทก์ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ คดีถึงที่สุด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า
จำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงโจทก์และจำเลยทะเลาะโต้เถียงกันด้วยความโกรธ
ต่างคนต่างว่าซึ่งกันและกัน คำว่า มึงโกงกู
เป็นคำโต้ตอบโจทก์เนื่องจากจำเลยไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยแล้วโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร
จะถือว่าจำเลยเจตนาใส่ความโจทก์อันจะเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 326 และไม่จำต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม
ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
329 (1) หรือไม่ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6
พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ
ให้ยกฟ้อง
(ชัยสิทธิ์
ตราชูธรรม-พรเทพ อัมพรกลิ่นแก้ว-บุญไชย ธนาพันธ์สิน)
ศาลจังหวัดพิจิตร
- นายเอกรินทร์ รุ่งรัตน์
ศาลอุทธรณ์ภาค
6 - นายพีระพงษ์ เธียรประดับ