ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวน (สทก.) เขตปฎิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่
ในเรื่องนี้
ขอตอบว่า ได้ แต่บุคคลผู้ขอออกโฉนดนั้น ต้องเป็นผู้มีสิทธิในที่ดิน
(ส.ค.๑) ตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย
ก่อนประกาศเป็นเขตป่าสงวน เขตปฏิรูปที่ดิน (ในทางคดีจะแพ้ชนะกันที่
ภาพถ่ายทางอากาศ ฉบับปี ๒๔๙๕ กับ ๒๕๑๐) และดู
บันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.๒๕๔๑
บันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินและกรมป่าไม้ ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์เพื่อออกโฉนดที่ดิน
หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเกี่ยวกับเขตป่าไม้ พ.ศ.๒๕๓๔ กฏกระทรวง ฉบับที่
๕(พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗
และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๑๑๓/๒๕๔๖
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๘๑๑๓/๒๕๔๖
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย
และเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินของจำเลย กับมีคำสั่งว่าที่ดินที่จำเลย
(ที่ถูกที่ดินที่จำเลยขอออกโฉนดที่ดิน) เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง
และพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำบอกกล่าวขอถอนคำฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๙,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตท้องที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งมีกฎกระทรวงฉบับที่ ๓๖๙ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๑
ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
กำหนดให้ป่าเมืองไผ่ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ
และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ได้มีพระราชกฤษฎีกา
ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของโจทก์
เดิมเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เอกสารหมาย ล. ๒ มีนายพล
เสือชุมแสง ถือสิทธิครอบครอง ต่อมานายพลได้ขายให้แก่จำเลยพร้อมกับมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน
(ส.ค. ๑) ให้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา
ต่อมาจำเลยได้นำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง
โจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินได้สอบสวนเปรียบเทียบแล้ว
มีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่านายพล เสือชุมแสง
เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินของรัฐ
เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔ และ ๗๒ ตรี
การแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทของนายพลจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ นั้น เห็นว่า
ประเด็นดังกล่าวโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
เป็นฎีกาที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๒ วรรคสาม บัญญัติว่า
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ซึ่งสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่รวมสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน
(ส.ค. ๑) ด้วยนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา
๕
บัญญัติรับรองถึงสิทธิของผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ
ดังนั้น สิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินจึงหมายรวมถึงสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน
(ส.ค. ๑) ด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่านายพลได้ขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีสิทธิครอบครองให้แก่จำเลย
และจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยทำเป็นสวนผลไม้ ปลูกต้นมะพร้าว กล้วย
และมะม่วง พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่านายพลได้สละสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและโอนที่ดินพิพาทโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลย
จำเลยรับโอนมาโดยชอบ
จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามนัยแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
มาตรา ๕๙ วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทและไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาใช้ในการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๖ (๔) แต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาชอบแล้ว
ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
(ดลจรัส รัตนโศภิต-ประพันธ์ ทรัพย์แสง-จิระวรรณ ศิริบุตร)
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ - นายบุญชัย วงษาพาณิชย์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายจรูญ อินทจาร