พฤติกรรมเช่นใดที่จะถือว่า เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๑๑๙(๑)
พฤติกรรมเช่นใดที่จะถือว่า
เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๑๑๙(๑)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๖๔๒/๒๕๕๙
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มิได้ให้ความหมายคำว่า
"ทุจริต" ไว้และไม่ได้ใช้คำว่า "โดยทุจริต"
ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 1 (1) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า "ทุจริต"
ตามพจนานุกรม คือความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง
การกระทำของโจทก์ซึ่งเป็นหัวหน้างานฝ่ายควบคุมคุณภาพ
มีอำนาจอนุมัติการทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด
และมีอำนาจรับรองเวลาทำงานในบัตรตอกเวลาทำงานในกรณีพนักงานลืมตอกบัตร
ทั้งต้องดูแลควบคุมให้พนักงานทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดตรงตามที่ขออนุมัติ
กลับจงใจลงลายมือชื่อรับรองเวลาทำงานในบัตรตอกเวลาทำงานของ ท. อันเป็นความเท็จ
เช่นนี้การกระทำของโจทก์ถือเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่อยู่ในความหมายของการทุจริตต่อหน้าที่แล้ว
การที่จำเลยยังไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุดหรือค่าล่วงเวลาแก่ ท.
เพราะผลจากการร้องเรียนของผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้มีการตรวจสอบและโจทก์แก้ไขเอกสารเสียก่อน
ท. ยังไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ
จากการกระทำของโจทก์ก็หาทำให้การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการทุจริตไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๖๓๑๐/๒๕๕๗
การที่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขายของจำเลย
ดำเนินการขายรถยนต์ให้แก่บริษัท ย. ในนามตัวแทนของจำเลย
รับดำเนินการทางทะเบียนรถยนต์ให้แก่บริษัท ย.
โดยมิได้มีหน้าที่โดยตรงแล้วอาศัยโอกาสเรียกให้บริษัท ย. โอนเงินเข้าบัญชีโจทก์ 15,000 บาท แล้วนำส่งจำเลยเป็นค่ามัดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ป้ายแดง 4,000 บาท และค่าจดทะเบียนรถยนต์ 3,800 บาท
ส่วนที่เหลือ 7,200 บาท ไม่คืนให้แก่บริษัท ย.
เป็นเหตุให้บริษัท ย.
ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ เป็นการประพฤติตนไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ คดโกง
ถือได้ว่าทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคหนึ่ง
(1) และกระทำความผิดอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 583
จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๒๘๒๐/๒๕๕๓
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ว่า
การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 เปิดบริษัทนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้ากีฬา
และโจทก์ได้ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และพนักงานของจำเลยที่ 3
บางส่วนทำงานส่วนตัวของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างหรือไม่
เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่
3 อีกตำแหน่งหนึ่ง มีหน้าที่ในการระดมหารายได้ให้แก่จำเลยที่ 3
จึงต้องปฏิบัติงานให้แก่นายจ้างในระหว่างทำงานให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตเพื่อหวังจะให้เกิดผลคุ้มค่าจ้างที่นายจ้างให้เป็นการตอบแทน
การที่โจทก์ไปเปิดบริษัทนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้ากีฬาแม้ลักษณะกิจการของโจทก์จะไม่เหมือนกับกิจการของจำเลยที่
3 และไม่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับงานของจำเลยที่ 3 ที่โจทก์ทำอยู่เป็นประจำก็ตาม
แต่การที่โจทก์เปิดบริษัทประกอบกิจการดังกล่าวก็ย่อมทำให้โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แก่จำเลยที่
3 ได้เต็มที่ดังเดิม นอกจากนี้การที่โจทก์ใช้อุปกรณ์
เครื่องมือและพนักงานของจำเลยที่ 3
บางส่วนทำงานส่วนตัวของโจทก์โดยปราศจากสิทธิอันชอบ
การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเบียดบังเวลาและทรัพย์สินของนายจ้างโดยมิชอบด้วยหน้าที่
เพื่อมุ่งแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 3
ซึ่งเป็นนายจ้างย่อมได้รับความเสียหาย
การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อจำเลยที่ 3
เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3
ฟังขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๘๔๑๗/๒๕๕๑
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า
การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า
หากโจทก์สุจริตใจจริง โจทก์ก็น่าจะยอมรับว่าเอากล้องไปใช้ตั้งแต่แรก
แต่กลับปรากฏว่าจำเลยต้องเปิดหน่วยความจำในกล้องให้ดูโจทก์จึงยอมรับเพราะจำนนต่อหลักฐาน
การกระทำของโจทก์เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
เอาทรัพย์สินของจำเลยไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยมีเจตนาทุจริตปกปิดทรัพย์สินของจำเลย
ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย มิใช่เป็นกรณีถือวิสาสะดังที่ศาลแรงงานภาค 5 วินิจฉัย
โจทก์ไม่ซื้อสัตย์ต่อจำเลย จึงมีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มิได้ให้ความหมายคำว่า "ทุจริต" ไว้และมิได้ใช้คำว่า
"โดยทุจริต" ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1)
จึงต้องใช้ความหมายคำว่า "ทุจริต" ตามพจนานุกรม คือความประพฤติชั่ว โกง
ไม่ซื่อตรง ศาลแรงงานภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่า
ในการสอบสวนนั้นโจทก์แจ้งว่าโจทก์ได้รับกล้องที่เป็นของสมนาคุณมาจริงแล้วนำไปไว้ในที่เก็บสินค้าของจำเลยยังมิได้นำออกใช้
แต่เมื่อตรวจดูหน่วยความจำที่บันทึกภาพถ่ายในกล้องปรากฏว่ามีภาพอยู่จำนวน 26
ภาพเป็นภาพถ่ายที่โจทก์บันทึกไว้เป็นการส่วนตัว
โจทก์จึงยอมรับว่าเอากล้องดังกล่าวไปใช้แล้วจริง
การที่โจทก์ยอมรับว่าเอากล้องดังกล่าวไปใช้แล้วจึงเป็นเพราะโจทก์จำนนต่อหลักฐานนั่นเอง
ทั้งไม่อาจถือได้ว่าเป็นการนำไปใช้โดยถือวิสาสะ
เพราะหากโจทก์คิดว่าโจทก์มีสิทธิจะนำไปใช้ได้
โจทก์ก็น่าจะยอมรับว่าเอาไปใช้แล้วจริงตั้งแต่ต้น
ไม่น่าจะต้องให้ตรวจดูหน่วยความจำที่กล้องบันทึกไว้เสียก่อน
เมื่อปรากฏว่ามีภาพถ่ายที่โจทก์บันทึกไว้เป็นการส่วนตัว โจทก์จึงเพิ่งจะยอมรับ
กล้องดังกล่าวเป็นของสมนาคุณที่จำเลยได้มาและมีไว้เพื่อให้พนักงานของจำเลยจับรางวัลในงานขึ้นปีใหม่
การที่โจทก์ไม่แจ้งให้จำเลยทราบว่าได้กล้องดังกล่าวมา ทั้งยังนำไปใช้โดยพลการ
เมื่อมีการสอบสวนก็ยังไม่ยอมรับว่าเอาไปใช้แล้วจนต้องมีการตรวจสอบหาความจริงจากหน่วยความจำที่กล้องบันทึกไว้ด้วยเช่นนี้
การกระทำของโจทก์จึงเป็นการประพฤติไม่ซื่อตรงอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1)
ทั้งยังเป็นการทำอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต
จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 583 จำเลยไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์
ทั้งการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในกรณีนี้เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควรที่จะเลิกจ้างได้
จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์
ที่ศาลแรงงานภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น" พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๓๔๘/๒๕๕๑
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
"มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การกระทำของโจทก์ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย
หมวดที่ 8 บทที่ 8.2 ข้อ (4) ที่ระบุว่า ใช้สถานที่ของบริษัทฯ
เป็นที่กระทำการอื่นใดนอกจากหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามปกติ
โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหาร และข้อ (12) ที่ระบุว่า การกระทำอื่นๆ
ตามที่ฝ่ายบริหารเห็นว่าร้ายแรง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากแก่บริษัทฯ
และอาจมีผลกระทบถึงส่วนรวมหรือทำผิดระเบียบข้อบังคับของบริษัทฯ
ซึ่งระบุเป็นโทษร้ายแรงไว้ เป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การจะถือว่ากรณีใดเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่
มิใช่จะดูแต่เพียงว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดว่า เป็นความผิดร้ายแรงแล้ว
ต้องถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเสมอไป
จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแต่ละกรณีไปตลอดจนผลเสียหายที่เกิดขึ้นมีมากน้อยเพียงใดด้วย
ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่าหลังจากนางสาววิไลวรรณตกลงจะเช่าช่วงพื้นที่ภายใต้ชื่อร้านว่า
เซนซ์ซาลอน หรือบิวตี้ ซาลอน จากนางพเยาว์แล้ว นางสาววิไลวรรณต้องชำระเงิน 500,000
บาท แก่นางพเยาว์ แต่นางพเยาว์เป็นลูกหนี้เงินกู้นายอภิชาติจำนวน 500,000 บาท
นางสาววิไลวรรณจึงชำระเงิน 500,000 บาท ให้แก่นายอภิชาติ
หลังจากนั้นนางสาววิไลวรรณได้เข้าไปดำเนินการในร้านเสริมสวย ต่อมาวันที่ 24 เมษายน
2545 นางสาววิไลวรรณนำเงิน 120,000 บาท
มอบให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้เงินกู้ซึ่งนางพเยาว์เป็นหนี้โจทก์แทนนางพเยาว์
และเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2545
นางสาววิไลวรรณกับนางพิศมัยร่วมกันซื้อเครื่องปรับอากาศราคา 18,000 บาท ให้โจทก์เนื่องในโอกาสที่โจทก์จะขึ้นบ้านใหม่
นอกจากนี้นางสาววิไลวรรณและนายยูกิได้ชำระค่าแหวนทองคำฝังเพชรและพลอย 1 วง ราคา
9,000 บาท ซึ่งโจทก์สั่งทำไว้แทนโจทก์
กับนายยูกิสามีของนางสาววิไลวรรณก็ได้ซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอลยี่ห้อแคนนอน 1 กล้อง
ราคาประมาณ 10,000 บาท จากประเทศญี่ปุ่นให้โจทก์พฤติการณ์และการกระทำของโจทก์
ถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกรับผลประโยชน์ซึ่งเป็นทรัพย์สินจากนางสาววิไลวรรณเป็นแหวนเพชร
กล้องถ่ายรูปดิจิตอลและเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่อง
เพื่อช่วยเหลือนางวิไลวรรณเช่าช่วงและช่วยเหลือในการต่อสัญญาเช่ากับจำเลยออกไปอีก
3 ปี โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่โจทก์ทำงานอยู่กับจำเลย
ทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงและมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจำเลย
การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๕๙๑/๒๕๔๙
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
"ศาลแรงงานภาค 9 รับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2546
โจทก์จ้างนายอภิเชษฐ วิจิตรเวชการ ทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง
ได้รับค่าจ้างเดือนละ 8,820 บาท และค่าตำแหน่งเดือนละ
500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548
โจทก์เลิกจ้างนายอภิเชษฐตามใบปลดออกจากงานเอกสารหมาย จ.6 ต่อมาวันที่ 21 มกราคม
2548 นายนายอภิเชษฐร้องทุกข์ต่อจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน
จำเลยได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสงขลา ที่ 11/2548
ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยจำนวน 26,460 บาท แก่นายอภิเชษฐ
โจทก์อุทธรณ์ว่า นายอภิเชษฐได้เรียกเก็บเงินจากนายอำไพ สุวรรณโรจน์
ผู้จำหน่ายสินค้าให้แก่โจทก์ แม้จะยังไม่ได้รับเงินจากที่เรียกร้องก็เป็นการทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นความผิดวินัยกรณีร้ายแรงแล้ว
นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานภาค 9 รับฟังข้อเท็จจริงว่า
นายอภิเชษฐนัดหมายนายอำไพรับประทานอาหารและเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนในการอำนวยความสะดวกติดต่อซื้อขายอะไหล่เครื่องยนต์จริงและปรากฏตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสงขลา ที่ 11/2548 เอกสารหมาย ล.4
ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำสั่งเป็นที่ยุติในชั้นศาลแรงงานภาค 9 ว่า
นายอภิเชษฐมีหน้าที่รับผิดชอบซ่อมแซมเครื่องจักรและบางครั้งสามารถสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรที่จะซื้อเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาจัดซื้อ
โดยพิจารณาสินค้าจากตัวแทนขายต่าง ๆ
รวมทั้งนายอำไพตัวแทนขายของห้างหุ้นส่วนจำกัดสิริฉัตรเทรดดิ้ง ดังนั้น
การที่นายอภิเชษฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ซ่อมแซมสืบเสาะราคาอุปกรณ์ในเครื่องจักร
นัดหมายนายอำไพตัวแทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดสิริฉัตรเทรดดิ้ง รับประทานอาหารและเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนนั้น
แม้ว่าการสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรที่จะซื้อจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของนายอภิเชษฐก็ตาม
แต่นายอภิเชษฐก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยและได้เรียกรับเงินจากตัวแทนขายอันเป็นบุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้แก่โจทก์
จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยโอกาสในการทำงานกับโจทก์เป็นการประพฤติชั่ว
โกง ไม่ซื่อสัตย์
ทำให้บุคคลภายนอกขาดความเชื่อถือและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ของโจทก์โดยตรง
จึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
(1) และการกระทำดังกล่าวยังเป็นความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์
บทที่ 7 ระเบียบวินัยและการดำเนินการทางวินัย ข้อ 33 ความซื่อสัตย์ ข้อย่อย 5
ที่ห้ามมิให้พนักงานหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และเป็นความผิดร้ายแรงตาม ข้อ 36
เรื่องการเสนอหรือยอมรับอามิสสินจ้างในการทำงาน
ซึ่งกำหนดให้ลงโทษเพียงการไล่ออกขั้นตอนเดียว
เมื่อนายอภิเชษฐกระทำความผิดต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว
จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างนายอภิเชษฐลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ที่ศาลแรงานภาค 9 พิพากษาว่า
การกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นกรณีร้ายแรงซึ่งนายจ้างจะต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๒๓๓/๒๕๔๙
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า
"ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544
มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,600 บาท โจทก์ได้เรียกรับสุรา 4 ขวด
จากคู่ค้าของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ
3.34 เป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2545
ซึ่งจำเลยอ้างเหตุในหนังสือเลิกจ้างว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและวินิจฉัยว่า
การที่โจทก์รับสุราจากคู่ค้าของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ
3.34
ซึ่งตำแหน่งของโจทก์อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้าที่จำหน่ายสินค้าให้จำเลย
ถือเป็นเรื่องสำคัญ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีเหตุสมควรและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
แต่การกระทำดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ฉ้อโกงหรือประพฤติชั่วในกิจการงานของจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญา
โดยเจตนาแก่จำเลยตามที่จำเลยอ้างในหนังสือเลิกจ้าง
ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน คิดเป็นเงิน 25,740 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมาย
และคดีนี้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเนื่องจากยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอจะวินิจฉัยคดี
ศาลแรงงานกลางได้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความรับกันเพิ่มเติมตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง
(ธัญบุรี) ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 ไว้เป็นใจความว่า คู่ค้าของจำเลยได้รับโทรศัพท์จากโจทก์ขอสุราจากร้านโดยอ้างว่าบริษัทจำเลยจะไปเที่ยวในวันที่
20 และ 21 ตุลาคม 2545 คู่ค้าของจำเลยหลงเชื่อตามโจทก์อ้างจึงให้สุราแก่โจทก์ไปรวม
4 ขวด การเรียกรับสุรานั้นจำเลยไม่ได้สั่งการ โจทก์ได้ใช้สุราทั้ง 4 ขวด
ในการไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานประมาณ 30 คน โดยไปเที่ยวกันเอง
โจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบมาก่อน ที่จำเลยอุทธรณ์เป็นใจความว่า
การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของโจทก์ในการจัดซื้อ
จัดหา ตลอดจนคัดเลือกกลุ่มสั่งซื้อของเข้าบริษัทจำเลย การที่โจทก์เรียกรับสุรา 4
ขวด จากคู่ค้า เป็นการแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองโดยทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของจำเลย
ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ 3.34
อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้วนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่
โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า "ทุจริต" ไว้
และไม่ได้ใช้คำว่า "โดยทุจริต" ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 1 (1) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า "ทุจริต" ตามพจนานุกรมคือความประพฤติชั่ว
โกง ไม่ซื่อตรง การกระทำของโจทก์ที่ได้สุรา 4 ขวด มาจากคู่ค้าของจำเลย
เพราะโจทก์เรียกรับเอาเองในขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของจำเลย
อันเป็นตำแหน่งที่อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้า
คู่ค้าจึงอาจเกรงใจจำยอมหรือยอมให้โดยไม่ได้สมัครใจอย่างแท้จริง
ทั้งการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจะนำเที่ยวในวันดังกล่าว คู่ค้าหลงเชื่อจึงให้สุราไป
ความจริงโจทก์กับเพื่อนร่วมงานนำสุราทั้ง 4
ขวดใช้ในการเที่ยวส่วนตัวการกระทำของโจทก์จึงเป็นความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง
อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119
(1) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๘๐๙/๒๕๔๘
การที่ลูกจ้างได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
ปกปิดไม่เสนอใบราคารายการใหม่และใบเปรียบเทียบราคาแก่กรรมการผู้มีอำนาจของนายจ้างนั้น
เป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่
และไม่รักษาผลประโยชน์ของนายจ้าง ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่