สุนัขวิ่งตัดหน้ารถ เจ้าของสุนัขต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ขับขี่หรือไม่
เรื่องนี้มีคำตอบจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๖๐๘๘/๒๕๕๙
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ม.๔๓๓ หนึ่ง
พระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ.๒๕๒๒ ม.๑๑๑
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน
๒๔๔,๑๖๖ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน
๑๔๔,๑๖๖ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว
นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗) ที่ถูก (ฟ้องวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๗)
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
ค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า
จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า
สุนัขตัวที่ก่อเหตุครั้งนี้ จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ โดยมีพยานปากนายสมชาย
เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันเบิกความยืนยันว่า
เห็นเหตุการณ์ขณะที่รถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับชนกับสุนัขที่วิ่งออกมาจากข้างถนนตัดหน้า
โดยพยานนั่งหันหน้าไปทางถนน และในช่วงวันหยุดเคยเห็นจำเลยที่ ๑
ขับรถซาเล้งพาสุนัขตัวดังกล่าวขับเที่ยวด้วยกัน หลังเกิดเหตุ สุนัขก็วิ่งเข้าไปในซอยที่บ้านของจำเลยที่
๑ ตั้งอยู่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์รู้จักบ้านของจำเลยทั้งสอง แม้จะไม่เคยเข้าไปภายใน
แต่จากพยานที่เห็นเหตุการณ์ของอุบัติเหตุครั้งนี้ เชื่อว่า
สุนัขตัวที่วิ่งออกมาตัดหน้ารถของโจทก์ จำเลยทั้งสองน่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือเคยดูแล
เนื่องจากจุดเกิดเหตุเกิดบริเวณตรงข้ามซอยที่เข้าบ้านของจำเลยที่ ๑ ไม่ปรากฏว่า
เป็นสุนัขจรจัดหรือไม่มีเจ้าของ
นอกจากนี้ประชาชนที่เข้าไปช่วยโจทก์ปฐมพยาบาลในเบื้องต้นขณะรถล้มก็เป็นคนบอกว่า
สุนัขที่โจทก์ขับรถชนเป็นของจำเลยทั้งสอง
หลังเกิดเหตุมีการนัดเจรจาเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหาย
แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ไม่มายอมรับผิด ส่วนที่จำเลยที่ ๑ เบิกความตอบทนายความโจทก์ถามค้านปฏิเสธว่า
ไม่เคยเห็นนายสมชาย เพื่อนบ้านมาก่อน ทั้ง ๆ ที่มีบ้านอยู่ติดกัน
ทำให้เป็นพิรุธน่าสงสัย เพราะนายสมชาย เป็นพยานฝ่ายโจทก์ที่มาเบิกความยืนยันว่า
สุนัขตัวที่ก่อเหตุ จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ นอกจากนี้จำเลยที่ 1
ก็ยอมรับว่าที่ทราบเรื่องรถจักรยานยนต์ชนสุนัข เนื่องจากน้องสาวของจำเลยที่ ๑
ที่มีบ้านอยู่ริมถนนตรงที่เกิดเหตุเป็นผู้โทรศัพท์ไปแจ้ง
เพราะหากจำเลยทั้งสองไม่ได้เกี่ยวข้องกับสุนัขแล้ว น้องสาวของจำเลยที่ ๑
ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งเหตุครั้งนี้ ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า
สุนัขที่วิ่งตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นสุนัขของจำเลยทั้งสอง
สำหรับปัญหาต่อไปมีว่า
จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในเหตุละเมิดหรือไม่ เห็นว่า
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๑๑ ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดขี่ จูง
ไล่ต้อนหรือปล่อยสัตว์ไปบนทางในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรและไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ
เมื่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ดูแลสัตว์ต้องดูแลควบคุมมิให้สัตว์กีดขวางการจราจร
การที่สุนัขของจำเลยทั้งสองวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด
จึงเป็นผลโดยตรงที่ทำให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์ล้มลง
เมื่อไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า
ขณะเกิดเหตุโจทก์ขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างไร ดังนั้น
เหตุละเมิดคดีนี้จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสอง
ที่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการควบคุมดูแลสุนัข
เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๔๓๓ วรรคหนึ่ง
ส่วนค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานั้น
เห็นว่า เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
และโจทก์ก็ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ
ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑๒,๐๐๐ บาท
(วิวัธน
ทองลงยา-นิพันธ์ ช่วยสกุล-เถกิงศักดิ์ คำสุระ)