สัญญาว่าจ้างนักกีฬา เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
9202/2559
นายราฟาเอล อานันเซียเซา เดอ ซานตาน่า โจทก์
บริษัททีโอที สปอร์ต คลับ จำกัด จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 575
เมื่อพิจารณาสัญญาว่าจ้างนักกีฬาฟุตบอลระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว
แม้สัญญาดังกล่าวข้อ 3.1 และ 3.2 จะได้ความว่า
โจทก์ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจำเลยทั้งที่กำหนดไว้แล้วในขณะทำสัญญาหรือกำหนดขึ้นใหม่ในภายหน้า
ทั้งนี้กฎระเบียบดังกล่าวให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา
โจทก์ต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการฝึกซ้อม แข่งขัน
และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน
เจ้าหน้าที่ทีมหรือผู้บริหารทีมของจำเลยอย่างเคร่งครัด
แต่ก็ปรากฏวัตถุประสงค์หลักของสัญญาในข้อ 8 ว่า
คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้เข้าใจจุดมุ่งหมายของสัญญาฉบับนี้ถูกต้องตรงกันแล้วว่าผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างมีความผูกพันในความสำเร็จของงาน
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางการฝึกซ้อม การแข่งขัน
และการมีชื่อเสียงของผู้ว่าจ้างตามนโยบายของผู้ว่าจ้างเท่านั้น
ประกอบกับระเบียบปฏิบัติแนบท้ายสัญญาข้อ 3 ถึงข้อ 5 ที่กำหนดการจ่ายโบนัสการแข่งขันโดยพิจารณาจากผลการแข่งขันเฉพาะผลการแข่งขันที่ชนะหรือเสมอว่าหากลงแข่งขันชนะจะได้รับโบนัสรวม
6,000 บาทต่อคน
แต่หากผลการแข่งขันเสมอจะได้รับโบนัสรวม 3,500 บาทต่อคน
กำหนดการประเมินผลและเงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันและเงินรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดโดยคิดคำนวณจากการให้คะแนนจัดกลุ่มซึ่งคำนึงถึงการลงแข่งขันและการฝึกซ้อม
แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์หลักตามสัญญาว่ามุ่งถึงผลการแข่งขันและการมีชื่อเสียงของจำเลยจึงได้กำหนดค่าตอบแทนในความสำเร็จดังกล่าวไว้
ดังนี้ สัญญาว่าจ้างนักกีฬาฟุตบอลระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ฝึกซ้อม
แข่งขัน ตลอดจนการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่ทีม
หรือผู้บริหารทีมของจำเลย
โดยมุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จของงานที่รับจ้างซึ่งก็คือผลการแข่งขันและนำไปสู่การมีชื่อเสียงของผู้ว่าจ้างอันเป็นเป้าหมายสำคัญของจำเลย
สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 575
หากแต่เป็นสัญญาในทางแพ่งประเภทหนึ่ง
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 4,750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการถูกเลิกจ้างเป็นเงิน 649,999.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 28 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติว่า
โจทก์มอบอำนาจให้นางสาวปารดาฟ้องคดีแทนโจทก์
โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและระเบียบปฏิบัติของจำเลย
ต้นเดือนสิงหาคม 2555
ทีมงานผู้ฝึกสอนของจำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้โจทก์เข้าร่วมฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมสโมสรและไม่ใส่ใจดูแลโจทก์
ทั้งแจ้งกับโจทก์ว่าไม่ต้องการว่าจ้างโจทก์ให้เป็นนักกีฬาฟุตบอลประจำสโมสรอีกต่อไป
แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน
และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2555 โดยโจทก์ไม่มีความผิด
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
โดยจำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่าสัญญาว่าจ้างนักกีฬาฟุตบอลไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน
เนื่องจากคู่สัญญามุ่งเน้นถึงความสำเร็จของงานเป็นสำคัญ เห็นว่า
เมื่อพิจารณาสัญญาว่าจ้างนักกีฬาฟุตบอลระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว
แม้สัญญาดังกล่าวข้อ 3.1 และ 3.2 จะได้ความว่า
โจทก์ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจำเลยทั้งที่กำหนดไว้แล้วในขณะทำสัญญาหรือกำหนดขึ้นใหม่ในภายหน้า
ทั้งนี้กฎระเบียบดังกล่าวให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา
โจทก์ต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการฝึกซ้อม แข่งขัน
และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่ทีมหรือผู้บริหารทีมของจำเลยอย่างเคร่งครัด
แต่ก็ปรากฏวัตถุประสงค์หลักของสัญญาในข้อ 8 ว่า
คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้เข้าใจจุดมุ่งหมายของสัญญาฉบับนี้ถูกต้องตรงกันแล้วว่าผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างมีความผูกพันในความสำเร็จของงาน
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางการฝึกซ้อม การแข่งขัน
และการมีชื่อเสียงของผู้ว่าจ้างตามนโยบายของผู้ว่าจ้างเท่านั้น
ประกอบกับระเบียบปฏิบัติแนบท้ายสัญญาข้อ 3 ถึงข้อ 5
ที่กำหนดการจ่ายโบนัสการแข่งขันโดยพิจารณาจากผลการแข่งขันเฉพาะผลการแข่งขันที่ชนะหรือเสมอว่าหากลงแข่งขันชนะจะได้รับโบนัสรวม
6,000 บาทต่อคน
แต่หากผลการแข่งขันเสมอจะได้รับโบนัสรวม 3,500 บาทต่อคน
กำหนดการประเมินผลและเงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันและเงินรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดโดยคิดคำนวณจากการให้คะแนนจัดกลุ่มซึ่งคำนึงถึงการลงแข่งขันและการฝึกซ้อม
แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์หลักตามสัญญาว่ามุ่งถึงผลการแข่งขันและการมีชื่อเสียงของจำเลยจึงได้กำหนดค่าตอบแทนในความสำเร็จดังกล่าวไว้
ดังนี้ สัญญาว่าจ้างนักกีฬาฟุตบอล จึงเป็นสัญญาที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ฝึกซ้อม
แข่งขัน
ตลอดจนการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ฝึกสอนเจ้าหน้าที่ทีมหรือผู้บริหารทีมของจำเลย
โดยมุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จของงานที่รับจ้างซึ่งก็คือผลการแข่งขันและนำไปสู่การมีชื่อเสียงของผู้ว่าจ้างอันเป็นเป้าหมายสำคัญของจำเลย
สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าว
จึงมิใช่สัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575
หากแต่เป็นสัญญาในทางแพ่งประเภทหนึ่ง เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่สัญญาจ้างแรงงาน
โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเงินตามกฎหมายแรงงานในฐานะลูกจ้างเป็นคดีนี้
แต่โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายตามสัญญาในฐานะคู่สัญญาที่ศาลที่มีอำนาจต่อไป
ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
( ภาวนา
สุคันธวณิช - วิชัย เอื้ออังคณากุล - ภาติยะ ดวงมณี )
ศาลแรงงานกลาง - นายสุวรรณ์ นามตะ