การป้องกันตนเอง

โดย: ส้มป่อย [IP: 171.4.233.xxx]
เมื่อ: 2025-02-18 13:00:54
แบงค์ กับ ทิว เป็นสามีภรรยากัน แบงค์ สามี ปกติแล้วเป็นคนนิสัยดี พูดจา ไพเราะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ แบงค์ ดื่มสุรา แบงค์จะมีอาการโมโหร้าย ทำลายข้าวของและทำร้ายร่างกาย ตบตี ทิว ซึ่งเป็นภรรยาของตน ทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง แบงค์กลับมาบ้านท่าทางเมามาย ทิว มองเห็น แบงค์กำลังเดินเข้าบ้านมาทางประตูหน้า และรู้ทันที แบงค์ มีอาการเมาหนักมากพร้อมทั้งคิดไว้ว่า แบงค์ จะต้องเข้ามาตบตีทำร้ายตนแน่นอน ครั้งนี้ ทิว จะไม่ยอมถูกทำร้ายอีก จึงเตรียมสากกระเบือไม้มาไว้กับตัว เมื่อแบงค์เดินเข้ามาและโวยวายเสียงดัง ทิวจึงตัดสินเข้าทำร้ายโดยใช้สากกระเบือไม้ทุบไปที่หัวทันที ปรากฏว่า แบงค์เป็นคนกะโหลกบางตั้งแต่เกิดการถูกตีโดยสากกระเบือไม้ ได้ทำให้สมองของแบงค์ได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนเลือดคลั่งในสมอง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา



.



จงวินิจฉัยว่า



.



(1) ทิว ต่อสู้ว่า ความตายของแบงค์ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของตนเนื่องจากตนมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายให้แบงค์เพื่อหยุดไม่เข้ามาทำร้ายเท่านั้น จึงไม่เป็นไปตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล ข้อต่อสู้ดังกล่าวฟังขึ้นหรือไม่



(2) ทิว อ้างว่า ตนได้กระทำการป้องกันตนเองตามมาตรา 68 เพื่อยกเว้นความผิด ได้หรือไม่
#1 โดย: มโนธรรม ผู้เฒ่า [IP: 184.22.220.xxx]
เมื่อ: 2025-02-20 08:35:35
การป้องกันตน

(1) ทิว ต่อสู้ว่า ความตายของแบงค์ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของตนเนื่องจากตนมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายให้แบงค์เพื่อหยุดไม่เข้ามาทำร้ายเท่านั้น จึงไม่เป็นไปตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล ข้อต่อสู้ดังกล่าวฟังขึ้นหรือไม่

(2) ทิว อ้างว่า ตนได้กระทำการป้องกันตนเองตามมาตรา 68 เพื่อยกเว้นความผิด ได้หรือไม่

ตอบ 1-2 ...ทิวคงอ้างการป้องกันตนให้พ้นผิดไม่ได้ เพราะ ยังไม่มีภยันตรายจากการประทุษร้ายของสามี อันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตราย ที่ใกล้จะถึง การเคยถูกทำร้ายที่ผ่านมา เมื่อทราบเกิดจากความมึนเมา จึงอยู่ในภาวะที่ภรรยา สามารถหลบเลื่ยงภยันตรายนี้ได้ การทำร้ายด้วยสากกะเบือ ย่อมเล็๋งเห็นผลแล้วว่า น่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เพราะรู้สำนึกในการกระทำ และประสงค์ต่อผล ตาม ปอ. ม.59 วรรคสอง
ขอนำเสนอหลักการป้องกันตน ที่นักกฎหมายท่านหนึ่งได้สรุปไว้ ซึ่งสามารถนำมาวินิจฉัยจากคำถามของท่านได้ (สามารถนำหลักการนี้ไปตอบคำถามในข้อสอบได้)
การป้องกันต ตาม ปอ. ม.68
1.ต้องเป็นการทำเพื่อป้องกัน “สิทธิ”
2.จะต้องมี “ภยันตราย” กำลังเกิดขึ้นต่อสิทธิ
3.เป็นภยันตรายที่ “ใกล้จะถึง”
4.ภยันตรายต้องเป็น “การละเมิดต่อกฎหมาย”
5.ควรหลีกเลี่ยง ถ้าหลีกเลี่ยงได้
6.ต้องกระทำก่อนภยันตรายนั้นสิ้นสุดลง
7.ต้องไม่มีส่วนผิดในเหตุการณ์นั้น
8.การกระทำต้องเป็นการสมควรแก่เหตุ
9.สามารถนำไปต่อสู้คดีความผิดอาญาได้ทุกข้อหา

แนวคำพิพากษาศาลฎีกา เทียบเคียง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8173/2544

แม้ผู้เสียหายจะถือมีดเข้าไปในบ้านของมารดาจำเลยในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมาพบได้มีการพูดจาโต้ตอบกันและผู้เสียหายได้บอกแก่จำเลยแล้วว่าไม่ใช่ขโมย เหตุที่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์จึงหมดไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

คำพิพากษาย่อยาว


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 และ 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธ ปรับ 75 บาท รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 75 บาท ให้ยกฟ้องในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 62 (ที่ถูกมาตรา 62 วรรคแรก), 69 และ 80 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายถูกที่ไหล่ซ้าย เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.8 ไปตามความจริงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.8 ปรากฏข้อความว่า คืนเกิดเหตุขณะที่จำเลยเฝ้าเครื่องวิดน้ำอยู่คนละฝั่งคลองกับบ้านของมารดาจำเลย เห็นคนถือตะเกียงแก๊สเดินผ่านบ้านของมารดาจำเลยไป จำเลยสังเกตดูอยู่ตลอดเพราะที่บ้านของจำเลยทรัพย์สินหายบ่อย แล้วจำเลยพายเรือข้ามคลองมาซุ่มอยู่ที่ชายคลอง สักพักมีคนเดินถือตะเกียงแก๊สเข้าไปใต้ถุนบ้านของมารดาจำเลยและดับตะเกียง จำเลยเดินไปดักคนที่ถือตะเกียงด้านหน้าแล้วตะโกนถามว่าใคร คนที่เดินอยู่ใต้ถุนบ้านของมารดาจำเลยพูดว่าไม่ใช่ขโมย จำเลยเห็นคนดังกล่าวถือมีดอยู่ด้วย จึงได้นำอาวุธปืนที่ติดตัวมายิงไป 1 นัด ถูกที่บริเวณไหล่ซ้าย ต่อมาจึงทราบว่าเป็นผู้เสียหายซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของมารดาจำเลย ข้อความที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแม้ผู้เสียหายจะถือมีดเข้าไปในบ้านของมารดาจำเลยในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมาพบได้มีการพูดจาโต้ตอบกันและผู้เสียหายได้บอกแก่จำเลยแล้วว่าไม่ใช่ขโมย เหตุที่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์จึงหมดไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันอีกการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงปรับบทให้ถูกต้องเท่านั้น ไม่อาจกำหนดโทษให้สูงไปกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และเมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันเนื่องจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัว ตามที่จำเลยฎีกาอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป

สำหรับที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 1 ปี 6 เดือน เป็นประโยชน์แก่จำเลยมากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

ชื่อผู้ตอบ:

Visitors: 179,857