-
-
บทบรรณาธิการ
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ
-
รถหายในห้างสรรพสินค้า ห้างฯต้องรับผิดชอบ
-
ผู้เช่า (หัวหมอ) ฟ้องผู้ให้เช่า บุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ และ ลักทรัพย์ แต่ (เงิบ) ด้วยข้อสัญญาเช่า จึงเป็นอุทธรณ์(เห่า) ของผู้ให้เช่า ในการเขียนสัญญาเช่า ให้รอดพ้นจากคดีดังกล่าวหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว
-
คำสั่งให้งดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ย่อมมีผลทันทีเมื่อศาลมีคำสั่ง แม้คำสั่งนั้นยังไม่ได้ส่งไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบก็ตาม
-
สัญญากู้ลงชื่อผู้กู้ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือเท่านั้น
-
การครอบครองปรปักษ์ยังไม่ครบ ๑๐ ปี เจ้าของที่ดินโอนไปยังบุคคลภายนอก การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง ต้องเริ่มนับใหม่
-
ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
-
ร้องขอครอบครองปรปักษ์ สังหาริมทรัพย์ (หุ้น, รถยนต์) ได้หรือไม่
-
คนต่างด้าวร้องขอครอบครองปรปักษ์คอนโดได้หรือไม่
-
หัวสัญญาระบุว่า สัญญาซื้อขาย โดยจำเลยเป็นผู้ซื้อ โจทก์เป็นผู้ขาย มีรายละเอียดของแบบสินค้า จำนวนชุด ราคา วันจัดส่ง แต่ในเนื้อหาสาระของสัญญายังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับผ้า วัสดุอุปกรณ์ กรรมวิธีการผลิต หีบห่อ และเศษวัสดุจากการตัดเย็บและสินค้าคุณภาพรองไว้ด้วย เช่นน
-
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่า จะมีผลผูกพันผู้รับโอนหรือไม่ แม้ผู้รับโอนจะรู้เห็นถึงการเช่าและรับโอนตึกแถวพิพาทมา
-
พวกไกด์ผีระวังไว้นะ
-
สัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดิน(ที่ดินจัดสรร) ที่มีข้อกำหนดของสัญญาว่า ค่าภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนโอน ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระทั้งหมด มีผลบังคับใช้ได้หรือไม่
-
ด่ากันทางโทรศัพท์ มีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือไม่
-
จอดรถไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรม โดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่บริเวณลาดจอดรถ หากรถหาย โรงแรมจะต้องรับผิดชอบหรือไม่
-
ผู้ให้กู้ กรอกจำนวนเงินกู้ในสัญญากู้ เกินกว่าความจริง ผู้กู้ต้องชดใช้เงินตามที่ผู้ให้กู้กรอกไว้หรือไม่ และผู้ให้กู้มีความผิดฐานใดบ้าง
-
ผู้กู้ ยินยอมให้ดอกเบี้ยแก่ ผู้ให้กู้ ในอัตราที่ขัดต่อกฎหมาย (เกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี)ผู้ให้กู้ มีความผิดหรือไม่ (กู้นอกระบบ)
-
ผู้ขายฝากมีเงินไถ่ที่ดินที่ขายฝากภายในกำหนดเวลาตามสัญญา แต่ผู้ซื้อฝากไม่ยินยอมให้ไถ่ ผู้ขายฝากจะไถ่ที่ดินที่ขายฝากด้วยวิธีใด
-
อ้างว่า ไฟแนนซ์ให้มายึดรถที่ค้างค่างวดคืน ถ้าไม่อยากให้ยึด ต้องจ่ายค่าติดตามมา อย่างนี้ ผู้เช่าซื้อจะดำเนินคดีอาญากับพวกแอบอ้างอย่างนี้ได้หรือไม่
-
ผู้กู้ เขียนข้อความว่า "เพื่อชำระหนี้เงินกู้" ไว้ด้านหลังเช็คและลงลายมือชื่อไว้เท่านั้น ถือว่า เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน หรือไม่
-
ผู้เช่าซื้อ ขายดาวน์ ให้แก่ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อใช้ชื่อและที่อยู่ของบุคคลอื่นเป็นผู้ซื้อ เมื่อได้รับมอบรถยนต์ไปแล้ว ก็ไม่ยอมมาทำสัญญาเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อ อย่างนี้ ผู้ซื้อจะมีความผิดอาญา ฐานใด
-
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้ร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี จะยังมีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองได้หรือไม่
-
กรณีของคุณชูวิทย์ ที่เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลฎีกามีคำตอบอย่างนี้
-
ใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของเด็ก เป็นความผิดฐานกระทำชำเรา ไม่ใช่อนาจาร
-
เจ้าของที่ดินเดิมมีเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะย่อมมีผลให้ที่ดินตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันที โดยไม่จำต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และไม่อาจซื้อกันได้ ผู้ซื้อย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นทางสาธารณะ
-
พฤติการณ์เช่นใดที่แสดงว่า สามียกย่องหญิงอื่นฉันภริยาแล้ว ซึ่งเมียหลวงมีสิทธิฟ้องหย่า และเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกับเรียกค่าทดแทนจากสามีและเมียน้อยได้
-
การด่าผู้อื่นว่า “ตอแหล” ผิดดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่
-
เงินเยอะ ซื้อที่ดินมือเปล่าทิ้งไว้ (ภ.บ.ท.5 หรือ สทก.) แต่ไม่ได้ครอบครองตามความเป็นจริง จะฟ้องขับไล่ เอาที่ดิน คืนได้ไหม
-
ซื้อที่ดินโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ ต่อมา อ.บ.ต.ห้ามมิให้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกเงินค่าที่ดินพร้อมดอกเบี้ยคืนจากผู้ขายหรือไม่
-
สิทธิครอบครองที่ดินภ.บ.ท.๕ ซื้อขายกันได้หรือไม่ และเมื่อผู้ซื้อเข้าครอบครองที่ดินแล้ว จะเปลี่ยนใจขอเงินคืนได้หรือไม่
-
ผู้ชำระบัญชี ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้บริษัท แต่กลับไปจดเสร็จการชำระบัญชี ผู้ชำระบัญชีต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ด้วยหรือไม่
-
ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ มีเพียงบัตรพร้อมรหัสใช้กดถอนเงิน จะถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จะใช้ฟ้องร้องกันได้หรือไม่
-
เป็นหนี้เงินกู้ยืมแล้วไม่ชำระ เจ้าหนี้เข้าไปยึดทรัพย์สินภายในบ้าน ตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ระบุว่า หากไม่ชำระยินยอมให้ยึดทรัพย์สินได้ เจ้าหนี้จะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่
-
ทำสัญญากู้กันไว้ โดยส่งมอบโฉนดไว้เป็นประกัน ผู้กู้จะฟ้องเรียกโฉนดคืนได้หรือไม่ เมื่อยังไม่ชำระหนี้ หรือในกรณีส่งมอบโฉนดไว้เป็นประกัน แต่ไม่ได้ทำสัญญากู้กันไว้ หรือ ศาลพิพากษาให้ชำระหนี้แล้ว แต่ไม่ได้บังคับภายใน ๑๐ ปี เจ้าหนี้ยังยึดโฉนดไว้ได้หรือไม่ จนกว่า
-
ผู้กู้ มอบโฉนดให้ ผู้ให้กู้ ไว้เป็นประกันการกู้ยืม ต่อมาผู้กู้ไปแจ้งความว่า โฉนดหายไปและไปขอออกใบแทนแล้วโอนให้แก่ผู้อื่นไป ผู้ให้กู้เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้อง ผู้กู้แจ้งความเท็จ ได้หรือไม่ และผู้ให้กู้ต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้ที่ดินคืนมาประกันการชำระห
-
ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง แล้วโอนต่อไปให้บุคคลภายนอกโดยไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมคนอื่น ทายาทจะตั้งรูปคดีอย่างไร เพื่อไม่ให้ฟ้องขาดอายุความ
-
ที่ดิน ภ.บ.ท.5 ซื้อขายกันได้ แต่ถ้าเป็นที่สาธารณประโยชน์ สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ
-
นักข่าวต้องการข่าว ไปล่อซื้อเพื่อให้เป็นข่าว
-
รถถูกขโมยไปจากคอนโด ใครต้องรับผิดชอบ
-
ถูกขโมยบัตรเครดิตไปใช้ ผู้ถือบัตรต้องรับภาระหนี้ดังกล่าวหรือไม่
-
ไปนวดแผนโบราณในโรงแรมแล้ว รถยนต์หายไป เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดชอบหรือไม่
-
กรณีศึกษา รถหายไปจากห้าง กับ มาตราฐานในการนำสืบข้อเท็จจริง เพื่อให้ห้างต้องรับผิดชอบ
-
ธนาคารหักเงินจากบัตรเดบิตที่ตนเองไม่ได้ใช้ ธนาคารต้องคืนเงินที่หักไปพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่หักเงินไปจากบัญชี
-
แอบถ่ายใต้กระโปรง
-
ซื้อรถยนต์ แต่จดทะเบียนโอนไม่ได้ และไม่ยอมส่งมอบแผ่นป้ายทะเบียนรถ คู่มือจดทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปี ต้องฟ้องอย่างไรถึงจะบังคับโอนได้
-
ซื้อบ้านจัดสรร โดยมีข้อตกลงให้ผู้ซื้อเป็นผู้ออกเงินค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ รายได้ส่วนท้องถิ่น และ อากรแสตมป์ ข้อตกลงดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ ผู้ซื้อสามารถฟ้องเรียกคืนได้ภายใน ๑๐ ปี
-
ร้านอาหารปรุงสำเร็จ อาหารพร้อมปรุง ร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า (ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ฯลฯ) เมนูอาหารต้องเป็นภาษาไทย ราคาต้องเป็นตัวเลขอารบิค ถ้าไม่มี หรือมี แต่ขายเกินราคา ถูกปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผู้แจ้งจับได้รับสินบนนำจับ ๒๕% ของค่าปรับ
-
ลูกความกล่าวต่อหน้าทนายความว่า “ไอ้ทนายเฮงซวย” เนื่องจากความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ทนายความ เป็นการดูหมิ่นทนายความ หรือไม่
-
เรื่อง ขี้หมา ขี้หมา
-
ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้ ต่างคนต่างโต้เถียงซึ่งกันและกัน เจ้าหนี้ด่าว่า “มึงโกงกู” ด้วยความโกรธ เป็นหมิ่นประมาทหรือไม่
-
ซื้อรถยนต์มือสองจากบริษัทขายรถยนต์ ต่อมารถยนต์ถูกตำรวจยึด เพราะเจ้าของรถไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย ผู้ซื้อรถต้องทำอย่างไร เสียทั้งเงินเสียทั้งรถ
-
ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวน (สทก.) เขตปฎิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่
-
เดิม ซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.โดยส่งมอบการครอบครองให้แล้ว สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ผู้ขายฟ้องขับไล่ผู้ซื้อออกจากที่ดินได้ (ฎีกา 2293/2552 และ 3424/2557) ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ผู้ขายที่ดิน ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (
-
เมียคนไทยมีชื่อและครอบครองที่ดินไว้แทนฝรั่งต่างชาติ แล้วฮุบเอาที่ดินเป็นของตนเองหรือเอาไปขาย ถ้าฝรั่งต่างชาติโวยวายเอาคืน เมียคนไทยระวังจะโดนข้อหายักยอกทรัพย์ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12250/2557) แต่ถ้าให้ใส่ชื่อไว้อย่างเดียว ไม่ได้ให้ครอบครองด้วย เอาไปขาย
-
โช้กอัพ ไม่ปรากฏในรายการจดทะเบียน ดังนั้น การโหลดโช้กอัพให้ต่ำลง และถอดนอตที่บริเวณโช้กอัพออก เป็นการเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ หรือไม่ เรื่องนี้มีคำตอบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๘๗/๒๕๕๖
-
มัดจำที่ถูกริบ หากสูงเกินไป ศาลปรับลดลงได้หรือไม่
-
ปัญหาการรับฟังเทปบันทึกเสียงในคดีอาญา เดิมต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา 226 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2551) ซึ่งมีหมายเหตุท้ายฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ควรรับฟังตาม 226/1 ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2555 วินิจฉัยว่า รับฟังได้ตาม 226/1
-
ปัญหาการรับฟังเทปบันทึกเสียงในคดีแพ่ง ถ้าคู่ความยอมรับ เสียงสนทนาเป็นของตนเองจริง ย่อมนำมารับฟังประกอบในการชั่งน้ำหนักพยานได้
-
แนวทางการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานในการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี
-
ว่าด้วยเรื่อง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
สุนัขวิ่งตัดหน้ารถ เจ้าของสุนัขต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ขับขี่หรือไม่
-
ตัวแทนจำหน่ายแต่ผู้เดียว
-
กำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๗๔ วรรคหนึ่ง (๒๗๑ (เดิม) จะต้องเริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด ไม่ใช่นับแต่คดีถึงที่สุดตามมาตรา ๑๔๗ วรรคสอง (ฎีกาที่ ๑๐๗๓๑/๒๕๕๘, ๔๖๗๓/๒๕๖๐) โดยไม่มีข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคั
-
-
คดีแรงงาน
-
เล่นอินเตอร์เน็ตพูกคุยเรื่องส่วนตัวในเวลางาน นายจ้างเลิกจ้างได้โดยชอบ
-
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่านายหน้า ค่าครองชีพ ค่าเที่ยว ค่าชั่วโมงบิน ค่าน้ำมันรถ ค่าคอมมิชชั่น ค่าโทรศัพท์ ค่ารถประจำตำแหน่ง ค่าบริการและค่าอาหาร เงินจ่ายทดแทนรถประจำตำแหน่ง เงินค่าค้างคืนนอกฝั่ง เงินจูงใจ เงินโบนัส ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่าภาษี เป็นค่าจ้างหรื
-
ค่าคอมมิสชั่นที่ได้รับจากการจำหน่ายสินค้าซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่จำหน่ายได้ในแต่ละเดือน ถือเป็นค่าจ้าง
-
หนังสือเตือนต้องมีข้อความเช่นใดจึงเป็นหนังสือเตือนที่ถูกต้อง
-
นายจ้างมีหนังสือเลิกจ้างแต่ไม่ได้ระบุเหตุผลการกระทำความผิดไว้ในหนังสือเลิกจ้าง นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างกระทำความผิดร้ายแรง ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่
-
ค่าชดเชยกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย
-
พนักงานจ้างเหมาค่าแรง(เอาท์ซอร์ส) จะต้องได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับพนักงานประจำ
-
มัคคุเทศก์อิสระ ไม่ใช่ลูกจ้าง
-
โจทก์เป็นลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็น ผู้รับจ้าง ตาม สัญญาจ้างทำของ
-
หลักการพิจารณาว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ
-
สัญญาจ้างแรงงาน มีข้อความว่า ห้ามพนักงานไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท หรือ เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำ
-
ลูกจ้างใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวต่อพวงกับอุปกรณ์ของนายจ้างในเวลาทำงานเพื่อทำการค้ากับบุคคลภายนอก นายจ้างเลิกจ้างได้หรือไม่
-
ถูกเลิกจ้าง โดยข้ออ้างไม่ผ่านการทดลองงาน โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินใดบ้าง
-
หลักเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้นเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมารวมคำนวนค่าชดเชยหรือไม่
-
ย้ายสถานประกอบกิจการ ตามมาตรา ๑๒๐ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
-
พฤติกรรมเช่นใดที่จะถือว่า เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๑๑๙(๑)
-
มาตรา ๑๑๙ วรรคท้าย หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง ต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้าง หมายความว่าอย่างไร
-
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า “หากพนักงานจะใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีต้องยื่นใบลาล่วงหน้าก่อนถึงวันลา หากไม่ใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีใดให้ถือว่าสละสิทธิการลาพักผ่อนในปีนั้น และหมดสิทธิที่จะนำไปสะสมไว้ในปีต่อไป” ข้อบังคับดังกล่าวใช้บังคับได้หรือไม่
-
สัญญาว่าจ้างนักกีฬา เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่ง
-
-
คดีเครื่องหมายการค้า
-
บรรดาภาพถ่าย ภาพวาด หรือภาพประดิษฐ์ซึ่งมีสภาพเป็นเพียงเครื่องหมายเท่านั้น ยังไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเครื่องหมายการค้าจนกว่าจะมีผู้นำภาพต่าง ๆ เช่นว่านี้มาใช้อย่างเครื่องหมายการค้า
-
เมื่อไม่ได้ใช้เครื่องหมายต่อสินค้าตามรายการสินค้าที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ และไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นการใช้อย่างเครื่องหมายการค้าแล้ว จึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้า
-
เอางานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ได้
-
(นำเข้าซ้อน) ผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่า
-
ความผิดพลาดในการนำสืบพยานคดีเครื่องหมายการค้า
-
ปัญหาบางประการเกี่ยวกับการลวงขาย
-
หลักเกณฑ์การพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าใดเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง
-
-
คดีลิขสิทธิ์
-
การบรรยายฟ้องคดีลิขสิทธิ์ที่ผิดพลาด
-
การล่อซื้อ กับ การล่อให้กระทำความผิด ผลทางกฎหมายแตกต่างกัน
-
การศึกษาหรือวิจัยอันเป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
-
การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
-
หมายเหตุท้ายฎีกา เรื่อง หลัก “fair use”
-
คดี นวนิยายหางเครื่อง (แนวความคิด หรือ การแสดงออกซึ่งความคิด)
-
ความคาบเกี่ยวลิขสิทธิ์กับเครื่องหมายการค้า(Big)
-
งานดัดแปลงที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ดัดแปลงจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เฉพาะงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
-
ฏีกาอาจารย์ไพจิตร
-
ตีความคำว่า แพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำ
-
ล้อเลื่อน (ไม่ใช่งานสร้างสรรค์)
-
ละเมิดบทความและชื่อ
-
ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงเด็กดอยใจดี
-
ลิขสิทธิ์ ศิลปประยุกต์
-
ลิขสิทธิ์ สิทธิของนักแสดง คดีคุณหน่อย บุษกร
-
เอกสารประชาสัมพันธ์ยังไม่ถือว่าเป็นงานสร้างสรรค์
-
การเดินแบบเสื้อผ้าไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์(คดีลูกเกตุเมทินี)
-
ตัวอย่างการปรับใช้มาตรา 32 วรรคหนึ่ง
-
คดีลิขสิทธิ์ ไม่จำต้องมีหมายค้น หมายจับ ถ้าเป็นความผิดซึ่งหน้า
-
เอาทำนองเพลงของเขาไปใช้เพียงแค่ ๒ ประโยค ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ หรือไม่
-
รูปแบบรายการเกมโชว์ เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่
-
ความคาบเกี่ยวระหว่างลิขสิทธิ์ศิลปประยุกต์กับสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์
-
แรงบันดาลใจหรือแนวความคิด กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง
-
ความคาบเกี่ยวระหว่างกฎหมายลิขสิทธิ์ กับ เครื่องหมายการค้า และ ลิขสิทธิ์ กับ สิทธิบัตร
-
-
ที่ดิน
-
คดีภาษี
-
หมายเหตุท้ายฎีกา
-
คดีทางการแพทย์
-
คดีคุ้มครองผู้บริโภค
-
คดีปกครอง
-
คดีดัง
-
-
บัตรเครดิตโดนขโมย
โดย:
็Kittiwat
[IP: 184.22.224.xxx]
เมื่อ: 2018-04-13 15:17:26
คนร้ายงัดเบาะรถจักรยานยนต์ แล้วขโมยบัตรเครดิต ไปใช้รูดซื้อสินค้า
เป็นวงเงิน4-5หมืนบาท ภายหลังที่รู้ว่าโดนนำไปใช้ เลยแจ้งอายัดกับทางธนาคาร ภายในวันเดียวกันที่เกิดเหตุ (ผ่านไป 1-2 ชม ) แล้วรีบไปแจ้งความกับท้องที่ที่คนร้ายนำไปใช้ วันรุ่นขึ้นได้ทำเรื่องปฎิเสธยอดธนาคารพร้อมกับใบแจ้งความ ตัวกระผมได้หาข้อมูลคนร้ายจากกล้องวงจรปิดตามร้านที่คนร้ายไปใช้ก่อเหตุ และประสานงานกับทางจนท ตำรวจ เพื่อเอารูปคนร้ายไปใ้ห้ทางตำรวจช่วยหาเบาะแส ต่อมาจนทตำรวจ สามารถจับคนร้ายได้ พร้อมหลักฐาน
ของกระผม และผู้เสียหายคนอื่นเป็นจำนวนหลายราย
ซึ่งปัจจุบันทางจนท. ธนาคารทราบเรื่องคนร้ายแล้ว
แต่ปัจจุบัน ยอดค่าใชจ่าย แค่มีการพักยอดไว้ เพื่อรอตรวจสอบ
และทาง จนท ธนาคารได้แจ้งให้ทราบประมาณว่า โอกาสที่เราต้องยอมรับหรือชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากคนร้ายนำบัตรเราไปใช้ หรือรับผิดชอบคนละครึ่งกับทางธนาคาร ซึ่งกระผมได้พยายามสอบถามทางธนาคารมาโดยตลอดว่าต้องการเอกสารหรือหลักฐานเซลล์สลิป ที่คนร้ายนำไปใช้หรือไม่ จนทธนาคารก็บอกไม่ต้อง
รบกวนสอบถามว่า กรณีนี้
1. หลังจากการสอบสวนแล้วถ้าธนาคารเรียกเก็บยอดเราจริงๆๆ เราควรทำอย่างไร
2. ในระหว่างรอการสอบสวน กระผมควรส่งหลักฐาน รูปถ่าย สำเนาเซลล์สลิป /วีดีโอกล้องวงจรปิด โดยส่งเป็นหนังสือลงทะเบียนตอบรับ ถึงกรรมการ ผจก ธนาคาร /ฝ่ายตรวจสอบธนาคารหรือไม่
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
เป็นวงเงิน4-5หมืนบาท ภายหลังที่รู้ว่าโดนนำไปใช้ เลยแจ้งอายัดกับทางธนาคาร ภายในวันเดียวกันที่เกิดเหตุ (ผ่านไป 1-2 ชม ) แล้วรีบไปแจ้งความกับท้องที่ที่คนร้ายนำไปใช้ วันรุ่นขึ้นได้ทำเรื่องปฎิเสธยอดธนาคารพร้อมกับใบแจ้งความ ตัวกระผมได้หาข้อมูลคนร้ายจากกล้องวงจรปิดตามร้านที่คนร้ายไปใช้ก่อเหตุ และประสานงานกับทางจนท ตำรวจ เพื่อเอารูปคนร้ายไปใ้ห้ทางตำรวจช่วยหาเบาะแส ต่อมาจนทตำรวจ สามารถจับคนร้ายได้ พร้อมหลักฐาน
ของกระผม และผู้เสียหายคนอื่นเป็นจำนวนหลายราย
ซึ่งปัจจุบันทางจนท. ธนาคารทราบเรื่องคนร้ายแล้ว
แต่ปัจจุบัน ยอดค่าใชจ่าย แค่มีการพักยอดไว้ เพื่อรอตรวจสอบ
และทาง จนท ธนาคารได้แจ้งให้ทราบประมาณว่า โอกาสที่เราต้องยอมรับหรือชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากคนร้ายนำบัตรเราไปใช้ หรือรับผิดชอบคนละครึ่งกับทางธนาคาร ซึ่งกระผมได้พยายามสอบถามทางธนาคารมาโดยตลอดว่าต้องการเอกสารหรือหลักฐานเซลล์สลิป ที่คนร้ายนำไปใช้หรือไม่ จนทธนาคารก็บอกไม่ต้อง
รบกวนสอบถามว่า กรณีนี้
1. หลังจากการสอบสวนแล้วถ้าธนาคารเรียกเก็บยอดเราจริงๆๆ เราควรทำอย่างไร
2. ในระหว่างรอการสอบสวน กระผมควรส่งหลักฐาน รูปถ่าย สำเนาเซลล์สลิป /วีดีโอกล้องวงจรปิด โดยส่งเป็นหนังสือลงทะเบียนตอบรับ ถึงกรรมการ ผจก ธนาคาร /ฝ่ายตรวจสอบธนาคารหรือไม่
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ตอบ...1-2 ธนาคารต้องแจ้งยอดเงินทั้งหมด ที่ถูกกดไป และเรียกร้องจาก คุณผู้เป็นเจ้าของบัตรฯ... เมื่อมีการจับตัวคนร้ายร้ายได้ ก็จะมีการสอบสวน สรุปสำนวนส่งอัยการ เพื่อฟ้องศาล ในข้อหาลักทรัพย์ พยานหลักฐานต่างๆที่ยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิด ก็ควรมอบตำรวจ หรืออัยการ แม้มอบหลักฐานให้ธนาคาร ก็คงรับไว้ แต่ก็คงไม่ทำอะไรไม่ได้ ต้องรอคำพิพากษาของศาล.... เมื่อมีการสั่งฟ้อง อัยการก็จะเรียกร้องค่าเสียหาย หรือเงินที่จำเลยกดไป ตาม ป.วิอาญา ม.43 ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า จำเลย จะมีเงินชดใช้ให้หรือไม่ จำเลยก็คงถูกจำคุก แต่ไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหาย ธนาคารจึงเกริ่นไว้ว่า คุณและธนาคารอาจรับผิดร่วมกัน...คือกรณีนี้ คุณและธนาคารต่างไม่มีความผิด ต้องไปเรียกร้องจากจำเลย ถ้าจำเลยไม่มี ก็ต้องยอมรับสภาพ คือต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ ก็ถือเป็นคราวเคราะห์ของคุณ ด้วยความปรารถนาดี ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์
นางสาวเรืองรวี รวิรัฐ จำเลย
พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลันเพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้นและไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านเจมาร์ทไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2543 จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตวีซ่าธนาคารฮ่องกง ประเภทบัตรคลาสสิคของโจทก์ จำเลยใช้บัตรของโจทก์ชำระราคาสินค้าและบริการตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 23 ตุลาคม 2544 จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน 24,400 บาท ดอกเบี้ยจำนวน1,552.90 บาท และเบี้ยปรับจำนวน 300 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องชำระภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 แต่ไม่ชำระ โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 24,400 บาท นับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 จนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 621.69 บาท รวมเป็นเงิน 26,745.59 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 26,745.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 24,400 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดตามยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้องระหว่างวันเวลาที่มีการใช้บัตรเครดิตจำเลยเดินทางไปเมืองฮ่องกงและบัตรหายไป มีผู้นำบัตรของจำเลยไปใช้โดยปลอมลายมือชื่อของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 24,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2544 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างได้วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตวีซ่าธนาคารฮ่องกงประเภทบัตรเครดิตคลาสสิคของโจทก์ จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์ชำระราคาสินค้าและบริการตลอดมา ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 จำเลยเดินทางโดยสารการบินจากประเทศไทยไปพักอยู่ที่เมืองฮ่องกงตามหลักฐานหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบินเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 บัตรเครดิตดังกล่าวมีผู้ลักเอาไปจากกระเป๋าเดินทางของจำเลยโดยได้นำไปใช้เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลา 11.02 นาฬิกา และเวลา 11.05 นาฬิกา ที่ร้านเจมาร์ทในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว รวมเป็นเงินจำนวน 24,400 บาท ต่อมาเมื่อจำเลยทราบว่าบัตรเครดิตดังกล่าวหายไป จำเลยได้โทรศัพท์แจ้งศูนย์บัตรเครดิตของโจทก์ทราบ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว และลายมือชื่อผู้ใช้บัตรในเซลสลิปทั้งสองรายการตามเอกสารหมาย ล.3 ใช้ชื่อว่ารุ่งระวี ส่วนลายมือของจำเลยตามที่ปรากฎในข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต ตามเอกสารหมาย จ.5 ใช้ชื่อว่า เรืองรวี
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่า ตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคแรก บัญญัติว่า ข้อตกลงในสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพหรือในสัญญาสำเร็จรูป หรือในสัญญาขายฝากที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพหรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝากได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควรเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น กับบัญญัติไว้ในวรรคสามว่า ข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติเป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่าทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง การที่มีข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยซึ่งถือเป็นผู้บริโภคต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้า ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลัน เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร (จำเลย) ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที ซึ่งนอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 6 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ธนาคาร (โจทก์)จะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร (จำเลย) หากผู้ถือบัตรปฏิเสธว่ามิได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือเป็นผู้ขอรับบริการ...ฯลฯ แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้นและไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ในกรณีนี้ได้ ซึ่งตามคำเบิกความตอบคำถามค้านของนายปฏิภาณ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์ได้ความว่าหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้ และลายมือชื่อผู้ใช้บัตรในเซลสลิป ตามเอกสารหมาย ล.3 ไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยผู้ถือบัตรว่าบัตรเครดิตดังกล่าวได้สูญหายไปเพราะมีคนมารื้อค้นเอาไปจากกระเป๋าเดินทางของจำเลยเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว ถือเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว เพราะคงมีผู้ถือบัตรเครดิตของโจทก์เพียงไม่กี่รายที่มาแจ้งต่อโจทก์เช่นนี้ ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวในเซลสลิปดังกล่าวไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยตามที่ปรากฎอยู่ในข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าเอกสารหมาย จ.5 เนื่องจากมีความแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน แสดงว่า ร้านเจมาร์ทไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิปดังกล่าวว่าตรงกับลายมือชื่อผู้ถือบัตรในบัตรเครดิตดังกล่าวหรือไม่แม้แต่น้อย ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บเงินจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์ก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ โดยเห็นว่ามีข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( สมชาย สินเกษม - ประทีป ปิติสันต์ - สุรชัย เอื้ออารีตระกูล )
ฝรั่งออสเตรเลียฟ้องธนาคารกรุงไทย ฐานหักค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตรทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1.25 แสน ศาลพิพากษาธาคารผิดจริงให้จ่ายค่าเสียหายตามที่เรียกพร้อมค่าเสียหายเชิงลงโทษอีก 120,000 บาท
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดี 8 ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลชั้นต้นออกนั่งบัลลังก์พิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ. 1711/2555 คดีระหว่าง นายเจฟฟรี จี เอเลน โดยนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ และ นางสาวรัชนีวรรณ พาพันธุ์เรือง ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ยื่นฟ้อง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อศาลแขวงพระนครใต้ เรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 125,357.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยหักเงินจากบัญชีของโจทก์ กรณีธนาคารกระทำการผิดสัญญาฝากทรัพย์และผิดสัญญาการใช้บัตรเดบิตต่อผู้บริโภคที่ใช้บริการ
โดยศาลพิพากษาให้ ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้นายเจฟฟรี จี เอเลน เป็นเงินจำนวน 125,357.11 บาท พร้อมสั่งให้ ธนาคารกรุงไทย จ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เนื่องจากพบว่ามีการกระทำที่มีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม เพิ่มอีก 120,599.35 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 245,956.46 บาท
จากกรณีเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 นายเจฟฟรี ฯ สัญชาติออสเตรเลีย ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ผู้ถือบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารที่ตนมีอยู่ และพบว่ายอดเงินในบัญชีลดลงโดยที่ตนเองไม่ได้ใช้ ซึ่งทราบว่ามีผู้ลักลอบถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนเพื่อใช้บริการซื้อสินค้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม 2554 ถึงวันที่ 5 กันยายน 2554 เป็นจำนวนเงินรวม 120,599.35 บาท ซึ่งการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นการใช้จ่ายที่ต้องใช้บัตรเดบิตประกอบการลงลายมือชื่อด้วยตนเอง มิใช่การซื้อสินค้าและบริการที่ชำระด้วยการโอนเงินโดยใช้บัตรประกอบรหัสประจำตัวได้ โดยที่ในช่วงเวลาที่มีการใช้บัตรเดบิตดังกล่าว นายเจฟฟรี ฯ พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย มิได้เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด
ต่อมาธนาคาร ได้ตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต และปฏิเสธการคืนเงิน โดยอ้างว่าการตรวจสอบของธนาคารไม่พบความผิดปกติ การใช้ดังกล่าวเป็นการใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าและบริการตามปกติ ไม่ใช่การทำธุรกรรมของมิจฉาชีพ จึงไม่สามารถคืนเงินให้แก่นายเจฟฟรี ฯ ได้ นายเจฟฟรี ฯ ไม่มีทางใดจะเรียกคืน จึงต้องฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภค เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555 โดยศาลชั้นต้นใช้เวลาดำเนินกระบวนพิจารณารวม 4 เดือน
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้วรับฟังได้ว่า กรณี นี้จำเลยยอมรับว่ามีผู้นำบัตรเดบิตที่จำเลยออกให้โจทก์ ไปใช้ในต่างประเทศจริงและทราบด้วยว่าใช้ที่ไหนบ้าง ซึ่งในการให้บริการดังกล่าวจะต้องมีเซลล์สลิปการใช้บริการหรือลายมือชื่อ ลูกค้าเป็นหลักฐาน แต่จำเลยกลับไม่นำหลักฐานดังกล่าวมาแสดงต่อศาล อีกทั้งพยานจำเลยยังเบิกความย้ำว่า จากประสบการณ์ทำงานที่ยาวนานสันนิษฐานได้ว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการถูกขโมยบัตรเดบิตไปใช้จริง ซึ่งหากมีกรณีบัตรถูกขโมยไปใช้นั้น ธนาคารจะไม่ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัญญาให้บริการ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับข้ออ้างของโจทก์ที่ยืนยันว่าโจทก์ไม่ได้ เป็นผู้ใช้ดังกล่าว
ดังนั้นเมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เองหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นนำไปใช้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรายการดังกล่าวมาหักเงินจากบัญชีธนาคารของโจทก์ เมื่อจำเลยหักเงินจากบัญชีธนาคารของโจทก์ไปแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินที่หักไปจากบัญชีของโจทก์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยหักเงินไปจากบัญชีของโจทก์ และการที่จำเลยทราบอยู่แล้วว่า กรณีนี้เกิดจากมีบุคคลอื่นขโมยบัตรเดบิตของโจทก์ไปใช้ เมื่อโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่คืนเงินดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมพิพากษาให้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 120,599.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 120,599.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 อีก 120,599.35 บาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 245,956.46 บาท และให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความโจทก์ 5,000 บาท
นายเจฟฟรี จี เอเลน ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า “ รู้สึกพอใจกับคำพิพากษาของศาลไทยเป็นอย่างมาก ผมดีใจที่ได้ความยุติธรรมกลับคืนมา เนื่องจากการจ่ายเงินคืนของธนาคารเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้บริโภคมาก ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวมีความจำเป็น แม้จะไม่มากมายแต่ก็เป็นเงินเพื่อใช้ในการยังชีพของผมที่อายุมากและภรรยา ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ต้องเจอแบบนี้เหมือนกัน อยากให้ธนาคารให้ความสำคัญกับผู้บริโภคมากกว่านี้ ”
นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า กรณีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับผู้บริโภค ที่ถูกธนาคารในฐานะผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบและจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษกับธนาคาร ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการป้องปรามหรือยับยั้งไม่ให้ผู้ประกอบการทำเช่นนี้กับใครอีก โดยเฉพาะการที่จำเลยในคดีนี้เป็นรัฐวิสาหกิจควรต้องมีการประกอบการที่สุจริตเป็นที่น่าเชื่อถือต่อนานาชาติ
“ในคดีนี้กระบวนพิจารณาของศาลก็รวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทำให้ผู้บริโภคได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอนาน ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทั้งนี้ศูนย์ทนายความอาสาฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จะนำผลของคดีนี้ไปศึกษา เพื่อขยายผลและสร้างให้เป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายต่อไป ” นายเฉลิมพงษ์
เคสนี้ธนาคารยืนยันที่จะเรียกเก็บเงินจากผมครับ
โดยธนาคารแจ้งว่าจะช่วย 50% และให้ผมรับผิดชอบ50%
คือผมต้องรอให้ธนาคารแจ้งยอดมาก่อน แล้วรอให้เขาฟ้อง
หรือผมสามารถไปร้องเรียนช่องทางไหนได้บ้างครับ